สยามสินธรเป็นบริษัท ที่ได้เกิดจากการถากถางทางมาร่วมกันระหว่างแลนด์ แอนด์
เฮ้าส์ และธนาคารไทยพาณิชย์ ตั้งแต่ในสมัยมีธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ นั่งเก้าอี้กรรมการผู้จัดการใหญ่ของธนาคาร
เป็นบริษัทพัฒนา ที่ดินบริษัทแรกของแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ที่ขยายงานออกไปเมื่อปี
2531 ด้วยเป้าหมายสำคัญ ที่จะทำการพัฒนา ที่ดินแปลงใหญ่ๆใจกลางเมือง ข้อมูลจากกรมทะเบียนการค้าล่าสุด
เมื่อเดือนตุลาคม 2542 ระบุไว้ว่า มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 4 รายคือ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
37.5% ไทยพาณิชย์ 25% และแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ 14% และอนันต์ อัศวโภคิน ประมาณ
11%
ตัวเลขเมื่อสิ้นปี 2531 บริษัทมีทรัพย์สินรวมประมาณ 200 กว่าล้านบาท เวลาผ่านไปจนถึงสิ้นปี
2539 บริษัทนี้มีสินทรัพย์รวมก้าวกระโดดเพิ่มขึ้นเป็น 10,650 ล้านบาทมากกว่าสินทรัพย์ของบริษัท
ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์อีกหลายๆ บริษัทด้วยซ้ำไป แม้จะลดลงเหลือ 8,708 ล้านบาท
เมื่อปี 2541 ก็ตาม
สูตรสำเร็จ ที่ลงตัวอย่างง่ายๆ ที่ถูกกำหนดไว้ก็คือ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์จะเป็นผู้บริหารการก่อสร้างในที่ดินย่านใจกลางเมืองของสำนักงานทรัพย์สินฯ
โดยมีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นผู้สนับสนุนทางด้านการเงิน ปัจจุบัน มีธงชัย จิระดิลก
ลูกหม้อเก่าแก่จากค่ายแลนด์ แอนด์เฮ้าส์ นั่งเป็นกรรมการ
ผู้จัดการใหญ่ ในปี 2537 บริษัทมีการเพิ่มทุนอย่างมหาศาลจาก 180 ล้านบาท
เป็น 1 ,000 ล้านบาท เงินส่วนหนึ่งได้ถูกนำไปซื้อ ที่ดินแปลงใหญ่ใจกลางเมืองเพิ่มเติมอีกหลายแปลง
เพื่อรอจังหวะในการพัฒนา เมื่อมีแหล่งเงินทุนหนาอย่างแบงก์ไทยพาณิชย์ มีแลนด์แบงก์ดีๆ
ของสำนักงานทรัพย์สินฯมีโนฮาว และกำลังคนจากแลนด์ แอนด์ เฮาส์ บริษัทนี้จึงเติบโตอย่างน่ากลัว
มีการขยายบริษัทเครือข่ายเช่นเกิดบริษัทสยามรีเทล เจ้าของโครงการแฟชั่นไอร์แลนด์
แล้วยังไปลงทุนในบริษัทฟินิกซ์ แลนด์ดีเวลลอปเม้นท์ เพื่อซื้อโครงการสนามกอล์ฟฟินิกซ์
ที่พัทยา รวมทั้งการเข้าไปซื้อโครงการสมประสงค์พลาซ่าหรือจอมเทียนซีไซด์ของ
ประสงค์ พานิชภักดี ลูกหนี้รายใหญอีกรายของ แบงก์ไทยพาณิชย์
โครงการแรกๆ ที่ได้พัฒนาในที่ดินของสำนักงานทรัพย์สิน และเป็นที่รู้จักในวงการคือ
โครงการรัตนโกสินทร์วิวแมนชั่น ตึกแฝดริมแม่น้ำเจ้าพระยา โครงการดิโอลด์สยามพลาซ่า
และอาคารสินธรถนนวิทยุ
หากไม่เกิดความผันแปรทางด้านภาวะเศรษฐกิจเกิดขึ้นการเข้าผงาดในตลาดหลักทรัพย์คือ
เป้าหมายต่อไปว่ากันว่าผู้บริหารสำนักงานทรัพย์สินฯ เองก็วาดหวังไว้สูงว่าบริษัทสยามสินธรจะเป็นบริษัททางด้านพัฒนา
ที่ดิน ที่จะสร้างเม็ดเงินมหาศาลทดแทนความผิดพลาดจากการที่บริษัทปูนซิเมนต์ไทยไปลงทุนในธุรกิจสื่อสาร
ซึ่งไม่ประสบผลสำเร็จด้วยซ้ำไป
แต่วันนี้โครงการพัฒนา ที่ดินหลายโครงการของสยามสินธรเงียบหายไปพร้อมๆ กับการปิดตัวเงียบของผู้บริหารบริษัท
แต่ตัวเลขหนี้สินกำลังก้าวกระโดดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ในปี 2541 บริษัทสยามสินธรมีตัวเลขหนี้สินรวมสูงถึง 9,989 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นหนี้สิน
ที่เกิดจากการเข้าไปลงทุนในบริษัทย่อย และบริษัทร่วมประมาณ 20 บริษัท เป็นหนี้สิน
ที่เกิดจากโครงการที่กำลังพัฒนา และ ที่ดิน ซึ่งรอการพัฒนาอีกจำนวนหนึ่ง
ในขณะเดียวกัน ปี 2540 ขาดทุนสูงถึง 2,765 ล้าน บาท และปี 2541 ขาดทุนถึง
1,948 ล้านบาท
โครงการที่กำลังทำรายได้ให้กับสยามสินธรในวันนี้ ่จึงมาจากโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบเล็กๆ
ซึ่งเป็นธุรกิจ ดั้งเดิม ที่แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ถนัด เช่น โครงการจอมเทียนซีไซด์ริมหาดจอมเทียน
ที่เอามาพัฒนาต่อจากบริษัท สมประสงค์ นั้น ได้เปลี่ยนรูปแบบหลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถสร้างยอดขายได้
ล่าสุดได้ปรับปรุงเป็นอพาร์ตเมนต์กว้างประมาณ 30 ตารางเมตร สัญญาเช่า 60
ปี ราคาค่าเซ้ง 2.5 แสนบาท และบางส่วนก็ได้ปล่อยเช่าล่าเป็นรายวัน
โครงการบ้านนริศา และนริศราญ ย่านบางขุนเทียน ที่ประสบปัญหาในเรื่องการขายเช่นเดียวกันกับโครงการของบริษัทอื่นๆ
และทางบริษัทก็ไม่มีแผนโปรโมตยอดขายอะไรทั้งสิ้น
ส่วนบริษัทดุสิตสินธรบริษัทในเครืออีกแห่งหนึ่งกำลังพัฒนาโครงการ "ดุสิตอเวนิว"
ที่อยู่อาศัยเป็นคอนโดกลางเมืองสูง 7 ชั้น 198 ยูนิต ทาวน์เฮ้าส์ และ อาคารพาณิชย์อีก
58 ยูนิต ในพื้นที่ 7 ไร่บริเวณเชิงสะพานซังฮี้ ในส่วนของคอนโดนั้น ราคา
3 ล้านบาท ขึ้นไปนั้น ถึงแม้จะขายได้แต่อาคารพาณิชย์ และทาวน์เฮ้าส์ราคาประมาณ
8 ล้านบาทนั้น ก็คงขายไม่ง่ายนักเช่นกัน
วันนี้บริษัทสยามสินธร จึงไม่สามารถก้าวได้ไกลอย่างที่หวังเช่นกัน