Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน31 ตุลาคม 2548
โบรกฯสู่ยุคชิงลูกค้าสถาบัน หลังรัฐส่งเสริมกดรายย่อยหด             
 


   
search resources

วิบูลย์ เพิ่มอารยวงศ์
Stock Exchange




จับตาโบรกเกอร์แข่งเดือดแย่งลูกค้าสถาบันทั้งในประเทศต่างประเทศ เหตุสัดส่วนการซื้อขายของนักลงทุนสถาบันเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกองทุนในประเทศที่ได้รับการสนับสนุนจากทางการด้านสิทธิประโยชน์ภาษี ทำให้กองทุน LTF-RMF มีมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น ขณะที่สัดส่วนการซื้อขายของนักลงทุนรายย่อยลดลงอย่างมาก

แหล่งข่าวจากโบรกเกอร์เปิดเผยว่า ขณะนี้จะต้องจับตามองการแข่งขันในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของโบรกเกอร์ที่จะมากขึ้น โดยเฉพาะการแย่งลูกค้าสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพราะที่ผ่านมาสัดส่วนลูกค้าของนักลงทุนสถาบันเพิ่มขึ้นอย่างมาก ขณะที่สัดส่วนของนักลงทุนรายย่อยลดลง ดังนั้นจึงส่งผลทำให้โบรกเกอร์ที่มีฐานนักลงทุนรายย่อยเป็นส่วนใหญ่หันไปมุ่งเน้นเพิ่มสัดส่วนนักลงทุนสถาบันมากขึ้น

"ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาพบว่า สัดส่วนการซื้อขายของนักลงทุนสถาบันเพิ่มขึ้นอย่างมาก อดีตที่ผ่าน มาสัดส่วนการซื้อขายของนักลงทุนสถาบันเคยอยู่ในระดับ 3-5% แต่ขณะนี้เพิ่มขึ้นอยู่ในระดับประมาณ 10% แล้ว จึงทำให้โบรกเกอร์หลายแห่งสนใจที่จะดึงนักลงทุนสถาบันให้มาสั่งคำสั่งซื้อขายให้" แหล่งข่าวกล่าว

ทั้งนี้ สาเหตุที่นักลงทุนสถาบัน มีสัดส่วนการซื้อขายมากขึ้น โดยเฉพาะกองทุนเนื่องจากช่วงที่ผ่านมาทางการให้การสนับสนุนอย่างมาก เช่น ให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีแก่กองทุนหุ้นระยะยาวหรือแอลทีเอฟ,กองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ หรืออาร์เอ็มเอฟ ซึ่งที่ผ่านมากองทุนเหล่านี้สามารถสร้างผลประกอบการ ที่ดีและทำให้นักลงทุนสนใจเข้าไปลงทุนมากขึ้น เพราะนักลงทุนจะได้รับผลประโยชน์ทั้งในแง่ของสิทธิด้านภาษีและผลตอบแทนจากการลงทุน

จากการที่สัดส่วนการซื้อขายของนักลงทุนรายย่อยลดลง ส่งผลกระทบต่อโบรกเกอร์ที่มีฐานลูกค้าเป็นนักลงทุนรายย่อยเป็นหลัก และทำให้โบรกเกอร์เหล่านี้จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการซื้อขายในปัจจุบันนี้ โดยจะเห็นได้จากอันดับส่วนแบ่งการตลาดซึ่งในช่วงหลังจะมีการเปลี่ยนแปลงพอสมควร โดยจะเห็นได้จากโบรกเกอร์บางรายที่มีฐานลูกค้าหลักเป็นรายย่อยอันดับจะลดลง เช่น บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย), บล.ซีมิโก้, บล.ไซรัส, บล.ยูไนเต็ด ขณะที่โบรกเกอร์ที่มีฐานลูกค้าเป็นนักลงทุนต่างประเทศ หรือกองทุนมากก็จะมีส่วนแบ่งการ ตลาดเพิ่มขึ้น เช่น บล.ไทยพาณิชย์, บล.ภัทร เป็นต้น โดยในส่วนของบล.ไทยพาณิชย์นั้นได้มีกระแสข่าวว่า ซิติก กรุ๊ปนักลงทุนต่างประเทศส่งคำสั่งซื้อขายให้

นายวิบูลย์ เพิ่มอารยวงศ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์ สินเอเซีย จำกัด เปิดเผยว่า สัดส่วน การซื้อขายของนักลงทุนนั้นจะขึ้นอยู่กับภาวะตลาดหุ้นโดยรวม ซึ่งถ้าปีใดที่ภาวะตลาดหุ้นดีก็จะทำให้สัดส่วนของนักลงทุนรายย่อยเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการซื้อขายเก็งกำไรหลาย รอบ แต่ถ้าภาวะตลาดหุ้นซบเซาก็จะทำให้สัดส่วนของนักลงทุนรายย่อยลดลงด้วยเพราะนักลงทุนเก็งกำไรได้น้อยลง

นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมา กองทุนรวมมีสัดส่วนการซื้อขายมาก ขึ้น เพราะได้รับการสนับสนุนจากทางการ อย่างไรก็ตามการซื้อขายของกองทุนนั้นจะไม่เก็งกำไรกันหลายรอบเหมือนกับนักลงทุนรายย่อย ดังนั้นจึงเชื่อว่าถ้าภาวะตลาดหุ้นมีสัญญาณที่จะฟื้นตัวก็อาจจะทำให้นักลงทุนรายย่อยกลับเข้ามามีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอีก

"ที่ผ่านมาโบรกเกอร์ส่วนใหญ่ก็ต้องการเพิ่มลูกค้าประเภทกองทุนและนักลงทุนต่างประเทศแต่การดำเนินการไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่ตั้งใจจะทำ เพราะการที่จะดึงกองทุนเข้ามาส่งคำสั่งซื้อขายผ่านนั้นจะต้องมีบริการที่ดีเพื่อดึงดูด เช่น มีทีมงานวิจัยที่มีคุณภาพ เป็นต้นขณะเดียวกัน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน หรือ บลจ.บางแห่งนั้นก็อาจจะต้องส่งคำสั่งซื้อขายให้กับบริษัทหลักทรัพย์ที่อยู่ในเครือเดียวกันด้วยซึ่งขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละ บลจ.ว่ากำหนดอย่างไรบ้าง"นายวิบูลย์กล่าว

จากการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นของนักลงทุนรายกลุ่ม ปรากฏว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ปี 2546-2548 (สิ้นสุดวันที่ 27 ต.ค.48) สัดส่วนการซื้อขายของนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่นักลงทุนรายย่อยสัดส่วนลดลง

ทั้งนี้ ในปี 2546-2548 สัดส่วน นักลงทุนสถาบันอยู่ในระดับ 6.1%, 8.4% และ 10.2% และนักลงทุนต่างประเทศมีสัดส่วนอยู่ในระดับ 17.8%, 21% และ 27.5% และ นักลงทุนรายย่อยทั่วไปอยู่ในระดับ 76.1%, 70.6% และ 62.3% ตามลำดับ

อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาจาก อัตราการเพิ่มขึ้นของมูลค่าการซื้อขาย พบว่านักลงทุนสถาบันในปี 2547 เพิ่มขึ้นจากปี 2546 อยู่ในระดับ 48.1% และในปี 2548 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยอยู่ในระดับ 3.1% ส่วนนักลงทุน ต่างประเทศ ในปี 2547 เพิ่มขึ้น 28.3% และในปี 2548 เพิ่มขึ้น 10.6% แต่ขณะที่นักลงทุนรายย่อย เพิ่มขึ้นในปี 2547 0.7% และในปี 2548 ลดลง 25.7%

สำหรับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในช่วง 3 ปีย้อนหลังและมูลค่าการซื้อขายจะพบว่าในปี 2546 ดัชนีเพิ่มขึ้น 116.6% และมีมูลค่าการซื้อขายโดยเฉลี่ยต่อวัน 18,908.02 ล้านบาท, ในปี 2547 ดัชนีลดลง 13.48% มูลค่า การซื้อขายโดยเฉลี่ยวันละ 20,507.75 ล้านบาท และในปี 2548 ดัชนีเพิ่มขึ้น 2.57% และมีมูลค่าการซื้อขายโดยเฉลี่ยต่อวัน 3,468.32 ล้านบาท   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us