"ไอเอ็มเอฟ" ประเมินทบทวนประจำปีเศรษฐกิจไทย ระบุปีนี้จีดีพีขยายตัว 3.5% เรียกร้องให้รัฐบาลไทยเร่งดำเนินการปฏิรูปภาคบรรษัทและภาคธนาคารให้เสร็จสิ้น ขณะที่ผู้ว่าฯธปท.มั่นใจจีดีพีไทยเกิน 3.5% เตรียมแถลงรายละเอียดวันนี้
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ระบุในรายงานซึ่งเผยแพร่วานนี้(27)ว่า ระหว่างการประเมินทบทวนประจำปี คณะกรรมการบริหารไอเอ็มเอฟชี้ว่า เศรษฐกิจของไทยสามารถเติบโตด้วยอัตราอันสดใส 6.1% ในปี 2004 ทั้งที่ต้องประสบปัญหาราคาน้ำมันแพง, การระบาดของไข้หวัดนกหลายระลอก, และความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้
คณะกรรมการบริหารไอเอ็มเอฟ "ชมเชยทางการผู้รับผิดชอบ(ของไทย) สำหรับการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคอย่างสุขุมรอบคอบ ซึ่งสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปี 2004 และช่วยรักษาอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ" รายงานกล่าว
สำหรับปีนี้ ไอเอ็มเอฟพยากรณ์ว่า เศรษฐกิจไทยจะเติบโตด้วยอัตราช้าลง คืออยู่ในระดับ 3.5% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะเร่งตัวขึ้นเป็น 1.5% จาก 0.4% ในปีที่แล้ว
การที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี)ปีนี้จะขยายตัวช้าลง เนื่องจากปัจจัยจำนวนมาก อาทิ ราคาพลังงานที่สูงขึ้น, เศรษฐกิจบรรดาคู่ค้าของไทยต่างชะลอตัว, การส่งออกผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์อยู่ในวัฏจักรช่วงขาลง, ภัยแล้งที่ยืดเยื้อ, และความเสียหายจากคลื่นยักษ์สึนามิในเดือนธันวาคมปีที่แล้ว
"ในระยะยาวนานออกไปแล้ว ลู่ทางสำหรับการเติบโตได้อย่างยั่งยืน จะขึ้นอยู่กับการปฏิบัติการคืบหน้าต่อไปอีก ในเรื่องการแก้ไขความอ่อนแอเชิงโครงสร้างซึ่งยังมีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคบรรษัทและภาคธนาคาร" รายงานแจกแจงต่อ
ถึงแม้ธนาคารต่างๆ มีฐานะการเงินแข็งแกร่งขึ้นในระยะไม่กี่ปีหลังมานี้ แต่รายงานก็กล่าวด้วยว่า ธนาคารเหล่านี้ยังคงมีภาระเรื่องเงินกู้ไม่ก่อรายได้ (เอ็นพีแอล) ในระดับสูง
ส่วนบริษัทต่างๆ ก็จำเป็นต้องดำเนินการให้มากขึ้นเพื่อลดระดับหนี้สินของพวกเขาลง ขณะที่บริษัทจำนวนหนึ่งซึ่งได้รับอนุมัติให้ปรับโครงสร้าง หรือได้รับอนุมัติให้นำทรัพย์สินออกมาขายเพื่อยุบเลิกกิจการ ปรากฏว่าทางบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย(ทีเอเอ็มซี) ก็ยังมิได้จัดการให้เสร็จสิ้น
คณะกรรมการบริหารไอเอ็มเอฟตั้งข้อสังเกตด้วยว่า รัฐบาลไทยได้เผยแผนการที่จะใช้จ่ายงบเงิน 1.7 ล้านล้านบาท ในโครงการ "เมกะโปรเจ็กต์" ช่วงปี 2005-09
โครงการเหล่านี้จะต้องใช้เงินลงทุนภาคสาธารณะคิดเป็นประมาณ 9% ของจีดีพี ซึ่งเกือบจะถึงระดับสูงสุดที่ไทยเคยลงทุนมาในอดีต แต่ก็ยังต่ำกว่าขีดสูงสุดซึ่งเกิดขึ้นในช่วงก่อนวิกฤตทางการเงิน ที่ไทยลงทุนสูงลิ่วถึงราว 12% ของจีดีพี
ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การประมาณการขยายตัวของธปท.ที่จะรายงานในรายงานแนวโน้มเงินเฟ้อวันนี้ (28 ต.ค.) จะสูงกว่าที่ไอเอ็มเอฟ ประเมินไว้ที่ระดับ 3.5% อย่างแน่นอน
สำหรับภาวะเงินลงทุนนั้น ปัจจุบันมีนักลงทุนนำเงินเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเงินทุนประเภทสินเชื่อเพื่อใช้ในการชำระค่าสินค้า(Trade credits) มีจำนวนมากขึ้น ทั้งนี้เงินทุนที่ไหลเข้าส่วนใหญ่เป็นเงินทุนระยะยาวมากกว่าระยะสั้น โดยตั้งแต่ช่วงต้นปี 2548 ถึงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาพบว่าประเทศไทยมีเงินทุนเคลื่อนย้ายสุทธิ 4,080 ล้านเหรียญสหรัฐ
|