บล.โกลเบล็ก ตั้งเป้าปี 49 เปิดอีก 3 สาขาห้องค้า ทำบทวิเคราะห์ภาคภาษาอังกฤษดึงลูกค้าสถาบันเพิ่ม ขยายอินเทอร์เน็ต เทรดดิ้ง ดันบัญชีลูกค้าเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัว จากสิ้นปี 48 ที่ 10,000 บัญชี หวังรักษามาร์เกตแชร์ 3-3.5% ประเมินปีหน้าธุรกิจหลักทรัพย์โบรกฯ แข่งดุ แห่เน้นคุณภาพบริการดึงดูดลูกค้า มั่นใจรายได้ปีหน้า 20-30%
นายพิษณุ วิชิตชลชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าว่าภายในปี 2549 จะมีลูกค้ามาเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มเป็น 15,000-20,000 บัญชี หรือเพิ่มขึ้น ประมาณ 1 เท่าตัวจากปัจจุบันที่มีลูกค้าเปิด บัญชีจำนวน 8,000 บัญชี และคาดว่าสิ้นปี 2548 จะเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับ 10,000 บัญชี เนื่องจากบริษัทจะมีการเปิดสาขาเพิ่มอีก 3 สาขา เช่น จังหวัดหนองคาย กรุงเทพฯ และ อีกแห่งอยู่ระหว่างการศึกษา ซึ่งจะเป็นการกระจายฐานลูกค้าให้ครอบคลุม ซึ่งจะไม่ผูกขาดกับลูกค้ารายใหญ่ จากปัจจุบันที่มี 17 สาขา และบริษัทก็จะมีการเพิ่มเจ้าหน้าที่การ ตลาด (มาร์เกตติ้ง) มากขึ้น ซึ่งจะเป็นการสร้างเอง จากขณะนี้ที่มีจำนวน 300 ราย
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนลูกค้าสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็น 10% จากขณะนี้ที่ 2% โดยการ จัดทำบทวิเคราะห์เป็นภาษาอังกฤษ และมีการปรับปรุงคุณภาพบทวิเคราะห์มากขึ้น ซึ่ง บริษัทมีแผนที่จะเพิ่มนักวิเคราะห์ให้มากขึ้น อีก จากปัจจุบันที่มีจำนวน 7 คน
บริษัทจะมีการขยายการให้บริการซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ต (อินเทอร์เน็ตเทรดดิ้ง) เพิ่มเป็น 30-40% จากขณะนี้ที่มี 20% ของมูลค่าการซื้อขายทั้งหมด เพราะนักลงทุนจะ มีความสะดวกสบายในการซื้อขายหลักทรัพย์ โดยบริษัทตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกต- แชร์) จะรักษาที่ 3-3.5% จากปีนี้ที่ 3%
นายพิษณุกล่าวว่า เบื้องต้นในปีหน้าบริษัทรับเป็นที่ปรึกษาทางการเงินที่จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่ง ประเทศไทย (ตลท.) และตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) จำนวน 3-4 บริษัท ซึ่งจาก นี้ถึงสิ้นปี 2548 จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียน 2 บริษัท คือ บมจ.อีซึ่นเพ้นท์ ซึ่งจะเข้าจดทะเบียนในวันที่ 26 ต.ค. และ บมจ.สตีลอินเตอร์เทค ซึ่งจะเข้าจดทะเบียนในตลาดเอ็มเอไอ
ทั้งนี้ บริษัทมีความสนใจในการให้บริการการให้ยืมหลักทรัพย์ (SBL) แต่ก็ขึ้น อยู่กับลูกค้าว่ามีความสนใจมากน้อยเพียงใด ซึ่งหากลูกค้าให้ความสนใจ มูลค่าการซื้อขาย สูง บริษัทก็จะมีการทำเอง แต่หากปริมาณการซื้อขายไม่มาก บริษัทก็จะไม่ทำเองแต่จะเป็นการใช้ของบริษัทหลักทรัพย์เพื่อธุรกิจ หลักทรัพย์ (TSFC)
ส่วนในด้านธุรกิจตลาดอนุพันธ์นั้น บริษัทได้มีการยื่นเป็นสมาชิกของตลาดอนุพันธ์ซึ่งอยู่ใน 12 รายชื่อหลัง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษากฎระเบียบต่างๆซึ่งบริษัทก็มีความพร้อมในการดำเนินธุรกิจดังกล่าว และบริษัทก็มีฐานลูกค้าอยู่แล้ว
สำหรับการแข่งขันธุรกิจ บล.ปีหน้านั้นจะมีการแข่งขันที่รุนแรงมาก เนื่องจากนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นที่มีการซื้อขายอย่างสม่ำเสมอนั้นมีเพียง 100,000 บัญชี จากจำนวนบัญชีทั้ง 430,000 บัญชี ขณะนี้จำนวนโบรกเกอร์ถึง 40 แห่ง ทำให้ต้องมีการแย่งลูกค้ากัน ซึ่งทุกโบรกเกอร์ก็จะหันมาเน้นที่คุณภาพ และการบริการที่ดีเป็นตัว ดึงดูดให้ลูกค้า
"ในปี 2549 ธุรกิจหลักทรัพย์จะมีการแข่งขันรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากขณะนี้จำนวนนักลงทุนที่มีการซื้อขายแอกทีฟเพียง 1 แสนบัญชี จากจำนวนบัญชีทั้งหมด 4.3 แสนบัญชี ซึ่งถือว่าน้อยมาก จาก บล. 40 แห่ง ที่มีเจ้าหน้าที่มาร์เกตติ้ง 7,000 คน ซึ่งโบรกเกอร์ก็จะต้องแข่งสูงขึ้น โดยโบรกเกอร์ ก็จะต้องมีการเน้นเรื่องคุณภาพและบริการที่ดี เพื่อดึงลูกค้า"
ทั้งนี้ บริษัทคาดมูลค่าการซื้อขายปี 2549 จะเพิ่มขึ้นเป็น 20,000-22,000 ล้านบาท จากปี 2548 ที่ประมาณ 18,000 ล้านบาท เนื่องจากมีบริษัทขนาดใหญ่เข้ามาจดทะเบียน ซึ่งจะทำให้มาร์เกตแคปของตลาดหุ้นไทยเพิ่ม ขึ้น ส่งผลให้เม็ดเงินต่างประเทศไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทคาดรายได้ปี 2549 เพิ่มขึ้น 20-30% จากปี 2548 ที่เพิ่มขึ้นจากปี 2547 เนื่องจากแผนการดำเนินการข้างต้น และการที่บริษัทไม่ต้องจ่ายค่าสมาชิกตลาด หลักทรัพย์ (ซีตโบรกเกอร์)
|