|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
แอมเวย์ปรับกลยุทธ์รับภาวะเศรษฐกิจคาดปีหน้าทำงานหนักขึ้น เล็งทำตลาด 2 ผลิตภัณฑ์หลักเครื่องสำอางอาร์ทิสทรีและเน้นหนักผลิตภัณฑ์เสริมนิวทริไลท์ เชื่อเทรนด์ตลาดเพื่อสุขภาพจะมาแรงแซงตลาดความงาม ชี้ช่องทางซื้อขายผ่านเว็บไซต์จะบูมในอีก 3-5 ปี เพราะสะดวก ช่วยเซฟเวลาและค่าเดินทางในยุคน้ำมันแพง ส่วนภาพรวมขายตรงไทยเชื่อยังมีโอกาสโตอีกมากหากเทียบกับต่างประเทศ
นางรัตนา ชาญนรา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัทแอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยกับ “ผู้จัดการรายวัน”ว่า ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันกระทบต่อทุกคนรวมถึงแอมเวย์ที่เพิ่งปิดยอดรายได้รอบบัญชี 2548 (1 ก.ย. 47- 31 ส.ค. 48) พบว่ายอดขายไม่เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ที่ 1 หมื่นล้านบาท โดยปิดยอดไปกว่า 9,000 ล้านบาท สำหรับรอบบัญชีปี 2549 มองว่าเรื่องเศรษฐกิจยังเป็นปัญหาสำคัญอยู่ ซึ่งบริษัทฯคาดว่าปีหน้าคงจะทำงานหนักขึ้นจากผลพวงภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและราคาน้ำมันที่สูงขึ้น โดยบริษัทฯจะเน้นใช้กลยุทธ์ทางการตลาด ภายใต้งบตลาดกว่า 100 ล้านบาทผ่านสื่อโฆษณาต่างๆและทำโปรโมชั่นใหม่ เป็นต้น
พร้อมกันนี้ปีหน้าแอมเวย์จะเน้นทำตลาดในส่วนของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางอาร์ทิสทรีและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนิวทริไลท์มากขึ้น อาทิ การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ ฯลฯ ซึ่งการทำตลาดก็ต้องดูคู่แข่งด้วยว่าจะมาในทิศทางไหน แต่เชื่อว่าตลาดจะเน้นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพมากกว่าเรื่องความงาม เพราะปัจจุบันคนจะมีปัญหาทางด้านสุขภาพเป็นจำนวนมาก อาทิ มีน้ำหนักเกินจากการบริโภคอาหารที่มากจึงนิยมหันมาทานอาหารเสริมมากขึ้น รวมถึงตลาดสุขภาพยังเป็นตลาดใหม่ที่น่าสนใจและมีอัตราการเติบโตสูง
ปัจจุบันผลิตภัณฑ์อาหารเสริมนิวทริไลท์และเครื่องสำอางอาร์ทิสทรีทำรายได้ให้แอมเวย์ในสัดส่วนที่เท่าๆกัน คือ 25-26% จากเดิมที่อาร์ทิสทรีจะทำรายได้มากกว่าหรือประมาณ 30% ส่วนนิวทริไลท์ ทำรายได้คิดเป็นสัดส่วน 20% โดยเชื่อว่าในอนาคตกลุ่มอาหารเสริมจะมีสัดส่วนยอดขายที่เพิ่มขึ้น
นางรัตนา กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันช่องทางการขายสินค้าของธุรกิจขายตรงผ่านทางเว็บไซต์หรือทางอีเลคทรอนิกส์มีแนวโน้มที่ดีและเป็นที่นิยมมากขึ้น เพราะมีความสะดวกและช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางและเวลาได้เป็นอย่างดีด้วย โดยเชื่อว่าในอนาคตช่องทางนี้มีโอกาสเติบโตสูงเห็นได้จากยอดสั่งซื้อสินค้าที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น
“ช่องทางการซื้อขายผ่านเว็บไซต์คนไทยยังไม่คุ้นเคยช่องทางนี้ แต่คาดว่าภายใน 3-5 ปีช่องทางนี้จะได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะซื้อขายสินค้าง่าย และช่วยประหยัดเวลาและค่าน้ำมัน ในส่วนของแอมเวย์ปัจจุบันมีนักธุรกิจอิสระ 2แสนกว่าราย โดยแบ่งเป็นนักขายแพลททินั่มกว่า 80% ที่ใช้ช่องทางนี้ซื้อขายสินค้าในแต่ละเดือน”
ส่วนภาพรวมของธุรกิจขายตรงในไทยมองว่าโอกาสทางการตลาดยังมีอยู่มากหากเทียบกับต่างประเทศที่ธุรกิจขายตรงยังเติบโตได้อีกมาก ทั้งนี้ดูได้จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของผู้ประกอบการต่างๆที่จะพยายามนำเสนอสินค้าและบริการใหม่ๆสู่ผู้บริโภค รวมถึงตัวนักขายหรือตัวแทนจำหน่ายต้องมีความจริงใจต่อลูกค้าด้วย
|
|
|
|
|