แกรมมี่ฟุ้งกำไรปีนี้โตไม่ต่ำกว่า 100% เพราะธุรกิจเพลงเติบโตต่อเนื่อง
ขณะที่ภาระขาดทุนในการลงทุนที่ไต้หวันลดลง และเตรียมขายหุ้นให้พันธมิตรใหม่
ตั้งเป้าปีหน้าหารายได้จากการจัดเก็บลิขสิทธิ์ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท รวมทั้งใช้มิวสิคมาร์เก็ตติ้งหนุนงานขายเพิ่มรายได้
แจงราคาไอพีโอบริษัทลูกที่ 30 บาท ไม่แพง นักลงทุนสถาบันสนใจจองซื้อล้น 25
เท่า ยันแยกขายหุ้นบริษัทลูกไม่กระทบรายได้บริษัทแม่
นายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ประธานกรรมการบริหารบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่
จำกัด (มหาชน) หรือ GMM เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทจะมีอัตรากำไรเพิ่มขึ้นจากปีก่อนไม่ต่ำกว่า
100% โดยในปี 2544 บริษัทมีกำไรสุทธิประมาณ 200 ล้านบาท สาเหตุที่กำไรเพิ่มขึ้นเนื่องจากบริษัทมีรายได้จากธุรกิจเพลงอย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งในช่วงปีที่ผ่านมา บริษัทสามารถลดภาระจากการลงทุนในไต้หวัน ซึ่งจากเดิมบริษัทที่ขาดทุนอยู่
250 ล้านบาท ได้ลดลงเหลือประมาณ 50 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทมีนโยบายหยุดการลงทุนในทุนในไต้หวัน แต่จะหาพันธมิตรเข้ามาถือหุ้นแทน
ซึ่งจะทำให้บริษัทไม่ต้องใส่เงินลงทุนเข้าไปใหม่ โดยการดำเนินงาน จะใช้เงินจากพันธมิตรใหม่ที่เข้ามา
ซึ่งบริษัทจะลดสัดส่วนการถือหุ้นจาก เดิมที่ถืออยู่ 100% จะลดสัดส่วนเหลือประมาณ
50% และบริษัทมีแผนที่จะเข้าไปลงทุนในประเทศจีน โดยใช้ฐานบริษัทในไต้หวันเข้าไปดำเนินธุรกิจ
"บริษัทพยายามที่จะตัดธุรกิจที่เป็นภาระกับบริษัทให้ลดน้อยลง ขณะเดียวกันก็พยายามที่จะรักษารายได้ให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
หรือให้อยู่ในระดับคงที่ต่อไป"
สำหรับแผนงานในปีหน้า บริษัทจะมีรายได้ใหม่ๆ เข้ามาหลาย ทาง ทั้งทางรายได้จากค่าลิขสิทธิ์ไม่ต่ำกว่า
100 ล้านบาท รายได้จากการ ที่มีการแข่งขันในสินค้าต่างๆ ซึ่งจะต้องใช้มิวสิคมาร์เก็ตติ้งเข้ามาช่วยสนับสนุนการขาย
จะทำให้บริษัทมีรายได้จากทางนี้ รวมทั้งรายได้หลัก ก็ยังเป็นรายได้จากธุรกิจเพลงอยู่
ส่วนโครงการซื้อหุ้นคืนของบริษัทจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ในช่วงที่ผ่านมาสามารถซื้อหุ้นคืนได้ประมาณ
100 กว่าล้านบาท ถ้าเห็นว่าราคา หุ้นต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน และไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง
บริษัทก็มีแผนที่จะซื้อหุ้นคืนอีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะทำให้ราคาหุ้นมีเสถียร-ภาพ
โดยปัจจุบันบริษัทยังมีเงินสดอยู่อีกจำนวนมาก
นายไพบูลย์ กล่าวถึงการเสนอ หุ้นของบริษัทจีเอ็มเอ็ม มีเดีย จำกัด (มหาชน)
ที่ราคาหุ้นละ 30 บาทนั้นถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐาน โดยจะมีค่า
P/E raitoประมาณ 17 เท่า ขณะที่หุ้นที่อยู่ในกลุ่มบันเทิงจะมีค่า P/E raitoประมาณ
25 เท่า ขณะนี้นักลงทุน สถาบันและนักลงทุนทั่วไปแสดงความสนใจที่จะซื้อหุ้นเป็นจำนวนมาก
จึงเชื่อว่าจะไม่มีปัญหาในการกระจายหุ้นแต่อย่างไร โดยจะเสนอขายหุ้นในวันที่14-15
พฤศจิกายนนี้
"ช่วงที่ผ่านมาก็ได้มีการสำรวจ ความต้องการซื้อ ของนักลงทุนสถาบัน
ซึ่งพบว่าช่วงราคาที่นักลงทุนสถาบันต้องการซื้ออยู่ในราคา 30-38 บาท แต่บริษัทเลือกที่จะเสนอ
ขายในระดับราคา 30 บาทเพื่อที่จะให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนจากการเข้ามาลงทุน"
สำหรับสัดส่วนการเสนอขายหุ้น จะจัดสรรให้กับนักลงทุนต่างประเทศประมาณ 40%
ให้กับผู้ถือหุ้นเดิมของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เนื่องจากผู้ถือหุ้นเดิมต้องการที่จะถือหุ้นในจีเอ็มเอ็ม
มีเดียและจะเสนอขายผ่านบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นผู้จัดจำหน่าย และประกันการจำหน่าย(อันเดอร์ไรเตอร์)
ประมาณ 20% และบางส่วนก็จะจัดสรรให้แก่นักลงทุนสถาบัน ภายหลังจากเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้ประชาชนทั่วไป
สัดส่วนถือหุ้นของ Grammy ในจีเอ็มเอ็มมีเดีย จะเหลือเพียง 78% จากปัจจุบันที่ถืออยู่
100% ส่วนที่เหลือ เป็นผู้ถือหุ้นรายย่อยทั่วไป 22%
ที่ผ่านมา จีเอ็มเอ็ม มีเดียสามารถทำกำไรให้บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่
ประมาณ 48% ของกำไรรวมของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เมื่อ จีเอ็มเอ็ม มีเดียแยกเป็นบริษัทจดทะเบียน
จะทำให้รายได้จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ส่วนหนึ่งหายไป ซึ่งบริษัทยืนยันว่า ไม่มีผลกระทบกับบริษัทแม่
"การที่กระจายหุ้นในขณะนี้ถึงแม้ภาวะตลาดหุ้นจะซบเซาแต่เชื่อ มั่นว่าจะไม่ส่งผลกระทบ
เนื่องจากที่ผ่านมาบริษัทสามารถที่จะรักษาผลการดำเนินงาน ให้อยู่ในระดับที่ดี
ได้ถึงแม้ว่าจะมีวิกฤษทางเศรษฐกิจในอดีตที่ผ่านมา แต่บริษัทก็ยังสามารถดำเนินธุรกิจให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง"
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัท 9 เดือนมีกำไรสุทธิประมาณ 280 ล้านบาท และเชื่อว่าทั้งปีจะ
มีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัทมีนโยบายที่จะจ่ายเงิน
ปันผลประมาณ 70% ของกำไรสุทธิ ซึ่งถ้านักลงทุนเข้ามาจองซื้อและ ถือระยะยาวก็มีโอกาสที่จะได้รับเงิน
ปันผล บริษัทมีฐานเงินทุนแข็งแกร่ง จะพยายามรักษาสัดส่วนหนี้สินต่อทุนให้อยู่ในระดับ
1 เท่า ปี 2546