|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
จัดสรรชี้ความเชื่อมั่นของคนซื้อบ้านลดลงจากปัจจัยกระทบรอบข้าง จับตารัฐจะมีมาตรการคุมปัญหาอย่างไร ชี้แนวโน้มขนาดของบ้านจะลดลง เพื่อให้เหมาะสมกับกำลังซื้อของผู้บริโภค ขณะที่จัดสรรเริ่มกำเงินสดรับมือ กับความผันผวนของตลาด ระบุแสนสิริ-แลนด์ฯ-คิวเฮ้าส์-แผ่นดินทอง- เพอร์เฟ็คฯ เงินในมือสูงสุด
นายสมเชาว์ ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ NCH ในฐานะนายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ ไทย เปิดเผยถึงภาพรวมอสังหาริมทรัพย์จากนี้ไปว่า ผู้ประกอบการจะต้องมีการศึกษาข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้าให้มากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมา ความเชื่อมั่นของลูกค้าในตลาดเริ่มลดลง โดยได้รับผลกระทบมาจากปัจจัยลบที่เกิดขึ้น ทำให้ลูกค้าหันมาพิจารณาความสามารถในการผ่อนชำระมากขึ้น และพยายามเลือกบ้านที่มีราคาเหมาะสมกับกำลังซื้อของแต่ละครอบครัว ทำให้เชื่อว่าในปี 2549 ผู้ประกอบการส่วนหนึ่งจะมีการ ปรับลดขนาดบ้านลง เพื่อให้สามารถขายในราคาเดิมได้ เพราะต้องรักษาระดับรายได้และอัตราการเติบโตของบริษัทไว้
"ปัจจัยดังกล่าวที่ก่อให้เกิดผลลบต่อตลาดนั้นยังไม่มีความแน่นอน ดังนั้น ต้องรอดูสถานการณ์ปีหน้าด้วยว่ารัฐบาลจะควบคุมปัญหาต่างๆที่จะเกิดขึ้นอย่างไร แต่เชื่อว่าการปรับ ขึ้นราคาวัสดุก่อสร้าง และอัตราดอกเบี้ยจะค่อยๆปรับตัว ในอัตราที่ไม่เร็วมากนัก ในขณะเดียวกันแนวโน้มของ ตลาดอสังหาฯ ก็จะมีการปรับตัวตามไปด้วย ทั้งในส่วนของผู้ประกอบการและผู้บริโภค ดังนั้น ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะไม่มาก ซึ่งน่าจะทำให้ตลาด อสังหาฯมีอัตราการขยายตัวที่ต่อเนื่อง และดีกว่าในปี 2548 แน่นนอน" นายสมเชาว์กล่าว
ในด้านของการแข่งขัน คาดว่าจะมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นกว่าปีนี้ เนื่องจากเกิดการชะลอการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคในปีนี้ ทำให้ตั้งแต่ช่วงต้นปีจนถึงปัจจุบัน ผู้ประกอบการ ชะลอการพัฒนาและเปิดตัวโครงการใหม่ๆ ในตลาด อย่างไรก็ตาม ก็เชื่อว่า เมื่อผู้บริโภคมีการปรับตัวและเข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะส่งผล ให้กำลังซื้อในตลาดเพิ่มขึ้น โดยใน ปี 49 คาดว่าปริมาณที่อยู่อาศัย(ซัปพลาย) ในตลาด จะถูกผลิตออกสู่ตลาดทดแทนซัปพลายที่ชะลอไปก่อนหน้านี้
โดยเฉพาะตลาดที่อยู่อาศัยระดับกลางลงล่าง ราคาประมาณ 1-3 ล้านบาท จะมีการผลิตสินค้าออกสู่ตลาดจำนวนมาก โดยเฉพาะบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮาส์คาดว่าจะเติบโตอย่างมาก ส่วนทาวน์เฮาส์ระดับราคา 2-3 ล้านที่อยู่ใกล้เมืองยังขยายตัวไปได้ต่อเนื่อง สำหรับบ้านเดี่ยวระดับกลาง 3 ล้านขึ้นยังพอขยายตัว เพราะกำลังซื้อในกลุ่มลูกค้ายังมีอยู่มาก นอกจาก นี้ในกลุ่มที่น่าจับตามองที่สุด คือ กลุ่มที่อยู่อาศัยประเภท อาคารชุด คอนโดมิเนียมราคา 1-2 ล้านบาท ที่เกาะแนวรถไฟฟ้า จะเป็นกลุ่มที่มีความนิยมมากที่สุด
ที่สำคัญ ข้อมูลจากบริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียล เอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด (AREA) ได้ยืนยันข้อมูลของบริษัทเอ็น.ซี.ฯได้อย่างเม่นยำว่า ในเดือนก.ค.มีโครงการเปิดตัวใหม่ลดลง จากในเดือนมิ.ย. จำนวนหน่วยที่เปิดขายใหม่ 4,515 หน่วย ลดลงจากเดือน ก่อนหน้า 13% มูลค่าโครงการเปิดใหม่ 16,381 ล้านบาท ลดลง 10% ขณะที่บ้านระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท มีซัปพลายออกสู่ตลาดมากที่สุด โดยปริมาณมีสัดส่วนถึง 61% แต่มีมูลค่าขายเพียง 26% ส่วนราคา 3-5 ล้านบาท มีสัดส่วนลดลงจากเดือนมิ.ย.เล็กน้อย โดยคิดเป็น 21% โดยปริมาณ และ 24% โดยมูลค่า เป็นต้น
แหล่งข่าวในวงการอสังหาฯ กล่าวยอมรับว่า ปัจจุบันผู้บริโภคไม่ค่อยมั่นใจในความสามารถในการผ่อน ชำระ หากต้องตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย เพราะสภาพเศรษฐกิจและรายได้ไม่มีการปรับขึ้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพสูงขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อที่ขยับมาอยู่ที่ 6% ในเดือนก.ย.ที่ผ่านมา ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ได้สร้างแรงกดดันต่อกำลังผ่อน โดยมีการคาดการณ์ว่า ดอกเบี้ยที่ขยับขึ้น 1% จะทำให้ภาระการผ่อนของคนซื้อบ้านเพิ่มถึง 8% ซึ่งยังไม่นับรวมกับค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่มี แนวโน้มจะสร้างปัญหาให้แก่ผู้บริโภค อย่างทั่วหน้า
นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้วิเคราะห์ถึงตลาดอสังหาฯว่า คงหนักใจกับสภาพตลาดอสังหาฯ เพราะ ขณะนี้ทุกๆอย่างได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มว่าภายในไตรมาสสุดท้ายของ ปีนี้และต่อเนื่องถึงต้นปี 49 อาจจะปรับขึ้นได้ 1.50 สตางค์ ซึ่งในความเห็น แล้ว ปีนี้ยังเป็นโอกาสเหมาะของผู้บริโภคที่จะรีบตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย เพราะในปีหน้าราคาบ้านจะขยับขึ้น และรูปแบบของบ้านรวมถึงฟังก์ชันต่างๆ ภายในบ้านจะไม่มีลูกเล่นมากเหมือนในช่วงที่ผ่านมา
"ในด้านของผู้ประกอบการแล้ว ต่างระมัดระวังในการลงทุน ซึ่งใน มุมมองแล้ว ถ้าตลาดไม่ดีขึ้นจริงๆ แสนสิริก็เลือกไม่ลงทุน สู้กำเงินสดไว้จะดีกว่า"นายเศรษฐากล่าว
จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ระบุว่าในไตรมาสที่ 2 บริษัทแสนสิริ มีปริมาณเงินสดสูงที่สุดด้วยมูลค่า 1,602 ล้านบาท ส่วนหนึ่งได้มาจากการขายที่ดินให้แก่ Pacific Asset รองลงมาเป็นบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ฯ 968 ล้านบาท บริษัท แผ่นดินทอง จำกัด (มหาชน) 918 ล้านบาท, บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ฯ 657 ล้านบาท และบริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟคฯ ด้วยมูลค่า 533 ล้าน บาท ส่วนบริษัทที่มีเงินสดต่ำกว่า 200 ล้านบาท อาทิ บริษัท อารียา พร็อพเพอร์ตี้ฯ 193 ล้านบาท, บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ฯ 107 ล้านบาท และศุภาลัย จำกัด (มหาชน) 100 ล้านบาท
|
|
|
|
|