Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน12 พฤศจิกายน 2545
"องค์กรรวมค้าปลีกเข้มแข็ง" เริ่มต้นพิกล..อนาคตก็พิการ             
 

   
related stories

ค้าปลีกเข้มแข็งร่อแร่ ปัญหารุมแนวทางเป๋

   
search resources

รวมค้าปลีกเข้มแข็ง, บจก.
Retail




องค์กรมหาชนรวมค้าปลีกเข้มแข็ง เกิดขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรีในการประชุม เมื่อวันอังคารที่ 7 พฤษภาคม 2545 โดยได้รับการจัดสรรงบประมาณ 395 ล้านบาทจากงบกระตุ้นเศรษฐกิจ มีจุดมุ่งหมายที่จะสร้างความเข้มแข็งแก่ร้านค้าปลีกรายย่อย โดยมีเป้าหมายที่จะระดมร้านค้าปลีกรายย่อยเข้าร่วมโครงการ 100,000 ราย ภายในกำหนดเวลา 5 ปี ร้านค้าปลีกรายย่อยแต่ละร้านมีวงเงิน สินเชื่อ 100,000 บาท ทั้งนี้ด้วยการใช้บริการสินเชื่อห้องแถว จากธนาคารออมสิน องค์กรมหาชนรวมค้าปลีกเข้มแข็งจะมีวงเงินสินเชื่อ รวมทั้งสิ้น 10,000 ล้านบาท ซึ่งทำให้มีอำนาจต่อรองกับผู้ผลิตในการ ซื้อสินค้าต่างๆ โดยได้รับส่วนลดที่ผ่อนปรนภายใต้เงื่อนไขเดียวกับที่ Discount Stores ได้รับ

ด้วยวิธีการเช่นนี้ ทำให้รัฐบาลเชื่อว่าองค์กรมหาชนรวมค้าปลีก เข้มแข็งจะช่วยให้ร้านค้าปลีกรายย่อยสามารถซื้อสินค้าในราคาถูกลง ได้ และอยู่ในฐานะที่จะแข่งขันในธุรกิจการค้าปลีกได้ดีขึ้น ในอีกด้านหนึ่ง ก็จะช่วยลดสภาพคล่องล้นเกินในภาคเศรษฐกิจการเงิน เนื่องจากจะมีการปล่อยกู้แก่ร้านค้าปลีกรายย่อยมากขึ้น

อ.รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เคย วิเคราะห์ไว้ในคอลัมน์ "จากสนามหลวงถึงท่า พระจันทร์ "ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันเมื่อช่วงที่องค์การแห่งนี้เพิ่งจัดตั้งเอาไว้ว่าองค์การฯนี้ ไม่เพียง แต่จะสร้างผลเชื่อมโยงระหว่างภาคการ ค้าปลีกกับภาคเศรษฐกิจการเงินเท่านั้น หากยังสามารถสร้างผลเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจในด้านอื่นๆ ได้ด้วย ดังเช่นการสร้างผลเชื่อมโยงไปสู่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(SMEs) และการ สร้างผลเชื่อมโยงไปสู่โครงการ "หนึ่งตำบล หนึ่ง ผลิตภัณฑ" เพราะองค์กรมหาชนรวมค้าปลีกเข้ม แข็งอยู่ในฐานะที่จะรับผลผลิตจาก SMEs และชุมชนในภูมิภาคต่างๆ มาจัดจำหน่ายได้

ทว่า องค์กรมหาชนรวมค้าปลีกเข้มแข็ง หรือองค์การโชวห่วยแห่งประเทศไทย ในทัศนะของอ.รังสรรค์ ยังมีปัญหาต้องเผชิญมากมาย ซึ่ง ขณะนั้นอ.รังสรรค์ มองว่า การสร้างความเข้มแข็ง แก่ธุรกิจการค้าปลีกรายย่อย มิได้อยู่ที่การสร้างอำนาจต่อรองกับผู้ผลิตเพื่อให้ได้ส่วนลดในระนาบเดียวกับธุรกิจการค้าปลีกขนาดใหญ่เท่านั้น หากยังอยู่ที่การพัฒนาทักษะและความสามารถในการประกอบการของธุรกิจการค้าปลีก รายย่อยอีกด้วย องค์การโชวห่วยแห่งประเทศไทยจึงถือเป็นหน้าที่ในการพัฒนาผู้ค้าปลีกรายย่อยให้มีการจัดการที่ดี

การดึงร้านค้าปลีกรายย่อยเข้าร่วมโครงการ เป็นปมเงื่อนสำคัญของการดำรงอยู่ขององค์การโชวห่วยแห่งประเทศไทย หากปราศจากผู้เข้าร่วม โครงการเสียแล้ว โครงการนี้ย่อมล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า ด้วยเหตุดังนี้ รัฐบาลจึงออกแบบโครง การด้วยการให้สิ่งจูงใจในการดูดดึงผู้เข้าร่วมโครง การอย่างน้อย 2 ด้าน ด้านหนึ่งได้แก่ การได้รับบริการสินเชื่อห้องแถว จากธนาคารออมสินอย่าง น้อยรายละ 100,000 บาท อีกด้านหนึ่งได้แก่ การ ได้รับอภัยโทษด้านภาษีอากร โดยกระทรวงการคลังให้คำมั่นว่าจะไม่ตรวจสอบการเสียภาษีย้อน หลัง ด้วยโครงสร้างสิ่งจูงใจดังกล่าวนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์กำหนดเป้าหมายว่า จะระดมร้านค้าปลีกรายย่อยเข้าร่วมโครงการให้ได้ 10,000 รายภายใน 6 เดือนแรก

นโยบายการสถาปนาองค์การโชห่วยแห่งประเทศไทยมีผลตรงกันข้ามกับนโยบายการถ่าย โอนการผลิตไปสู่ภาคเอกชน (Privatization) รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีนโยบายขายรัฐวิสาหกิจให้แก่เอกชน กระทรวงการคลังกำหนดแผนและเร่งรัดการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ถึง กับจัดตั้งหน่วยงานใหม่เพื่อดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ ตัวนายกรัฐมนตรีเองกล่าวถึงความไร้ประสิทธิ ภาพของรัฐวิสาหกิจและองค์กรอื่นของรัฐอยู่เนืองๆ แต่แล้วกลับตัดสินใจจัดตั้งหน่วยงานใหม่เพื่อประกอบกิจการโชวห่วย ถึงจะจัดตั้งเป็น องค์กรมหาชน มิได้จัดองค์การในรูปรัฐวิสาหกิจ และพยายามบริหารเยี่ยงธุรกิจเอกชน แต่ปัญหาพื้นฐานที่ดำรงอยู่จะทำให้องค์กรมหาชนที่จัดตั้งขึ้นใหม่นี้ไม่มีประสิทธิภาพในการประกอบการ มิหนำซ้ำยังเอื้อต่อการใช้อำนาจทาง การเมืองในการดูดซับส่วนเกินทางเศรษฐกิจอีกด้วย

รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร วาดฝันว่า ด้วยการสถาปนาองค์การโชห่วยแห่งประเทศไทย ร้านค้าปลีกรายย่อยจะมีความเข้มแข็งถึงขั้นที่จะต่อกรกับธุรกิจค้าปลีกยักษ์ใหญ่จากต่างประเทศได้ การวาดฝันเช่นนี้ ย่อมเกินเลยจากความเป็นจริงโดยมิพักต้องสงสัย ถึงองค์การโชห่วยแห่งประเทศไทยจะเติบใหญ่ จนในภายหลังมีขนาดไม่ยิ่งหย่อนกว่า Tesco Lotus หรือ Makro แต่มีเหตุผลน่าเชื่อว่า องค์การโชห่วยแห่ง ประเทศไทยมิได้มีประสิทธิภาพในการประกอบการเทียบเทียมยักษ์ใหญ่ในธุรกิจการค้าปลีกเหล่า นั้น เพราะองค์การโชห่วยแห่งประเทศไทยมิได้มี ความเป็นเจ้าของที่ชัดเจน ในขณะที่ Tesco Lotus และ Makro มีความเป็นเจ้าของที่ชัดเจน ผู้เป็นเจ้าของย่อมควบคุมและกำกับให้ฝ่ายบริหาร ประกอบกิจการอย่างมีประสิทธิภาพ แต่สิ่งจูงใจ เช่นนี้จะไม่มีอยู่ในองค์กรที่ความเป็นเจ้าของไม่ชัดเจน โดยที่องค์การโชห่วยแห่งประเทศไทยอยู่ในข่ายนี้ถึงองค์การโชห่วยแห่งประเทศไทยจะได้รับส่วนลดจากผู้ผลิตในอัตราเดียวกับที่ Tesco Lotus และ Makro ได้รับ หากประสิทธิภาพในการประกอบการต่ำกว่า ย่อมทำ ให้ราคาสินค้าที่ขายสูงกว่ายักษ์ใหญ่ในธุรกิจการ ค้าปลีกเหล่านี้

ในประการสำคัญ องค์การโชห่วยแห่งประเทศไทยต้องเสียต้นทุนการกระจายสินค้าสูง กว่า เนื่องจากต้องกระจายสินค้าแก่ร้านค้าปลีกรายย่อยจำนวนมาก โดยที่แต่ละร้านสั่งซื้อสินค้า แต่ละรายการจำนวนไม่มาก มิไยต้องกล่าวว่า การ ฉ้อราษฎร์บังหลวงและการแสวงหาผลประโยชน์ ส่วนบุคคลของผู้มีอำนาจทางการเมืองจะมีผลซ้ำเติมฐานะการประกอบการขององค์การโชห่วย แห่งประเทศไทย โดยไม่ต้องสงสัย

อ.รังสรรค์ ยังมองว่า หากรัฐบาลต้องการ แทรกแซงธุรกิจการค้าปลีก รัฐบาลมิจำต้องแทรกแซงด้วยการกระโดดเข้าไปเป็นผู้ประกอบการเอง ดังเช่นการก่อตั้งองค์การโชห่วยแห่งประเทศไทย รัฐบาลสามารถแทรกแซงโดยอ้อม ด้วยการกำหนดนโยบาย กฎกติกา และการจัดระเบียบธุรกิจ เริ่มต้นด้วยการสกัดธุรกิจการค้าปลีกยักษ์ใหญ่จากต่างประเทศ รัฐบาลไทยตั้งแต่ปี 2538 เป็นต้นมา ดำเนินนโยบายการเปิดเสรีการค้าปลีกเกินเลยกว่าระดับที่มีข้อผูกพันกับองค์การการค้าโลก วิกฤติการณ์การเงินปี 2540 ยิ่งทำให้รัฐบาลไม่กล้าแตะต้องบรรษัทระหว่างประเทศ เพราะกริ่งเกรงการไหลออกของ เงินทุนต่างประเทศ ซึ่งจะมีผลในการซ้ำเติมวิกฤติ การณ์การเงินที่ดำรงอยู่

"นอกจากการงับประตู เพื่อสกัดการไหลบ่าเข้ามาของธุรกิจการค้าปลีกยักษ์ใหญ่จากต่างประเทศแล้ว รัฐบาลยังสามารถกำหนดกฎกติกา และจัดระเบียบให้ธุรกิจยักษ์ใหญ่ประกอบการเฉพาะเมืองขนาดใหญ่ และกำกับทำเลที่ตั้งด้วย ในประการสำคัญ กระทรวงพาณิชย์สามารถใช้กฎ หมายการแข่งขันทางการดำเนินการควบคุมและกำกับธุรกิจการค้าปลีกยักษ์ใหญ่มิให้รังแกร้านค้า ปลีกรายย่อย เพื่อป้องกันมิให้เกิดปรากฏการณ์ "ปลาใหญ่กินปลาเล็ก" ได้

หากรัฐบาลยังมิได้งับประตูเพื่อสกัดการไหล บ่าของบรรษัทระหว่างประเทศที่เข้ามาประกอบธุรกิจการค้าปลีก และมิได้จัดระเบียบธุรกิจการค้าปลีกเพื่อให้มีการแข่งขันที่เป็นธรรมและปราศ จากการผูกขาด การจัดตั้งองค์กรของรัฐเพื่อประกอบกิจการโชวห่วย มิอาจช่วยให้ร้านค้าปลีก รายย่อยมีความเข้มแข็งขึ้นมาได้ เพราะองค์การโชวห่วยแห่งประเทศไทยที่จัดตั้งขึ้นใหม่มีปัญหา ในตัวของมันเองอยู่แล้ว บรรดาผลเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจที่วาดฝันอย่างเลิศหรู ไม่ว่าจะเป็นผลเชื่อมโยงที่มีต่อ SMEs หรือที่มีต่อโครงการ "หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์" ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่อง เลื่อนลอย เพราะร้านค้าปลีกรายย่อยมีพื้นที่ประกอบการจำกัด ร้านค้าเหล่านี้จะรับสินค้าอะไรมาขาย ย่อมขึ้นอยู่กับสภาพตลาดและทำเล ที่ตั้ง รวมตลอดจนอัตราผลตอบแทนสัมพัทธ์ที่ได้รับจากการขายสินค้าแต่ละประเภท

สุดท้ายอ.รังสรรค์ ได้ทำนายอนาคตของการจัดตั้งองค์การโชวห่วยแห่งประเทศไทยนี้ว่า มิใช่นวัตกรรมด้านนโยบาย เพราะแนวนโยบายลักษณะนี้ปรากฏมาก่อนแล้วตั้งแต่ทศวรรษ 2490 ไม่ว่าจะเป็นองค์การสรรพาหาร สำนักงานข้าว องค์การคลังสินค้า องค์การค้าของคุรุสภา ฯลฯ หากบทเรียนจากประวัติศาสตร์สามารถให้คำทำนายที่ถูกต้องแม่นยำ เมื่อองค์การโชวห่วยแห่ง ประเทศไทยก่อเกิดด้วยอำนาจการเมือง การใช้อำนาจการเมืองในการดูดซับส่วนเกินทางเศรษฐ-กิจจากองค์กรแห่งนี้เป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ ความจำกัดของทรัพยากรอาจทำให้สินเชื่อห้องแถวของธนาคารออมสินกระจุกอยู่ในบางท้องที่ของนักการเมืองที่มีอิทธิพล หรือในจังหวัดที่เป็น ฐานที่มั่นทางการเมืองของพรรครัฐบาล

การขาดความสำนึกในความเป็นเจ้าของอาจทำให้การบริหารจัดการขององค์การโชวห่วยแห่งประเทศไทยเป็นไปอย่างหละหลวม การรุมทึ้งองค์การโชวห่วยแห่งประเทศไทยจะเกิดขึ้นเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นแก่องค์การสรรพาหาร สำนักงานข้าว องค์การคลังสินค้า และองค์การค้า ของคุรุสภา ประชาชนคนไทยควรจะเตรียมตัวเตรียมใจรอรับภาระอันเกิดจากมรณกรรมขององค์การโชวห่วยแห่งประเทศไทย และควรสวดภาวนาให้ธนาคารออมสินสามารถเรียกคืนสินเชื่อ ห้องแถวได้

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us