ทีพีไอโพลีน นั่งไม่ติด ออกโรงโต้คณะกรรมการเจ้าหนี้ หาเรื่องปลดพ้นผู้บริหารแผนฯ
ยืนยันที่ผ่านมาไม่เคยทำการผิดนัดตามที่ถูกกล่าวอ้าง ยืนยันจ่ายเงินต้นและดอกเบี้ยตรงตามเวลาตลอด
ส่วนความล่าช้าในการขายหุ้นเพิ่มทุนให้กลุ่มปูนกลางเกิดจากคณะกรรมการเจ้าหนี้เอง
พร้อมทั้งทำสัญญาเอ็มอาร์เอฉบับใหม่ เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขเดิม ทั้งการปลดค้ำประกันหนี้ของตระกูลเลี่ยวไพรัตน์
และระบุการถือครองหุ้นขั้นต่ำของปูนกลาง "ประชัย" แฉ เบื้องหลังเจ้าหนี้ทำทุกวิถีทางเพื่อปลดผู้บริหารแผนฯเดิมออก
รอคำสั่งศาลชี้ชะตา 20 พ.ย.นี้
ตามที่คณะกรรมการเจ้าหนี้บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPL
ได้ทำหนังสือถึงเจ้าหนี้ทีพีไอโพลีนเพื่อขอให้ทีพีไอโพลีน ออกจากการเป็นผู้บริหารแผนของบริษัทฯ
เอง โดยระบุว่าผู้บริหารแผนฯ ผิดสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ รวมทั้งเสนอให้เจ้าหนี้ทางการเงินแต่งตั้งบริษัทที่ปรึกษา
อินทนนท์ หรือ อาเธอร์ แอนเดอร์สันเดิม ทำหน้าที่เป็นผู้บริหารแผนทีพีไอโพลีนเมื่อวันที่
28 ตุลาคม 2545
นางอรพิน เลี่ยวไพรัตน์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท ทีพีไอ โพลีน
จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPL ในฐานะผู้บริหารแผน TPIPL กล่าวว่า บริษัทฯ ได้ทำหนังสือคัดค้านการเสนอปลดทีพีไอโพลีนออกจากการเป็นผู้บริหารแผนต่อเจ้าหนี้ต่างๆ
เมื่อวันที่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อชี้แจงเหตุผลที่เกิดขึ้นจริงให้กับเจ้าหนี้ได้รับทราบ
หลังจากคณะกรรมการเจ้าหนี้ส่งหนังสือให้เจ้าหนี้เพื่อขอปลดบริษัทฯ จากการเป็นผู้บริหารแผนฯ
พร้อมทั้งยืนยันว่า บริษัทฯ ไม่เคยทำการผิด นัดชำระหนี้ โดยตลอด 2 ปีที่มีการปรับโครงสร้างหนี้
บริษัทชำระเงินต้นและดอกเบี้ยจ่ายตรงตามเวลา โดย ล่าสุดสิ้นมิถุนายน 2545
บริษัทชำระคืนเงินต้นประมาณ 25 ล้านเหรียญสหรัฐแล้ว และเตรียมเงินอีก 25
ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อชำระหนี้เงินต้นในปลายปีนี้ด้วย
ส่วนความล่าช้าของการเพิ่มทุนฯ ที่จะเสนอขาย ให้กับบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง
จำกัด (มหาชน) นั้น ไม่ใช่ความผิดของผู้บริหารแผนฯ แต่มาจากคณะกรรมการเจ้าหนี้
เพราะบริษัทเพิ่งได้รับสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (เอ็มอาร์เอ) ฉบับใหม่เมื่อไม่นานนี้
ทำให้ไม่มีเวลาในการพิจารณาเพราะตลอดระยะเวลา 7 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ ไม่เคยเข้าร่วมประชุมระหว่างคณะกรรมการเจ้าหนี้และปูนซีเมนต์นครหลวงเลย
อีกทั้งคณะกรรมการเจ้าหนี้ได้มีการแก้ไขสัญญาต่างๆ ที่ต่างไปจากสัญญาที่บริษัทฯ
ได้ลงนามกับปูนซีเมนต์นครหลวงไว้แต่เดิมด้วย
รายละเอียดของสัญญาเอ็มอาร์เอฉบับใหม่ ทำ ให้บริษัทมีความกังวลในหลายประเด็นเพราะรายละเอียดของสัญญาเปลี่ยนแปลงไป
เช่น การค้ำประกันที่จะต้องปลดภาระตระกูลเลี่ยวไพรัตน์ ออกจากการค้ำประกัน
หลังจากแผนขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับปูนซีเมนต์นครหลวงสำเร็จ ซึ่งในสัญญาเอ็มอาร์เอฉบับใหม่ไม่มีระบุไว้
รวมไปถึงการให้สิทธินายประชัย ในการซื้อทรัพย์สินของธุรกิจเม็ดพลาสติกแอลดีพีอี
ในราคา 50 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในระยะเวลากำหนด และซื้อทรัพย์สินรองในราคาที่จะได้กำหนดด้วย
"ปัจจุบันคุณประชัยติดค้ำประกันเงินกู้ทีพีไอโพลีนประมาณ 1.4 พันล้านบาท
รวมทั้งตระกูลเลี่ยวไพรัตน์ ติดค้ำประกันอยู่รวมทั้ง 6 พันล้านบาท ซึ่งก็หวังที่จะหลุดการค้ำประกัน
เมื่อมีผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหม่เข้ามาบริหารงานแทน" นายประเสริฐ อิทธิเมฆินทร์
รองผู้จัดการใหญ่อาวุโสสายบัญชีและการเงิน ทีพีไอโพลีนกล่าว
นอกจากนี้ในสัญญายังระบุว่าให้ปูนซีเมนต์นครหลวงถือหุ้นในทีพีไอโพลีนไม่ต่ำกว่า
75% หากมีหนี้สินเกิน 200 ล้านเหรียญสหรัฐ และถ้าหนี้ต่ำกว่า นั้น ให้ถือหุ้นไม่ต่ำกว่า
51%
การแก้ไขสัญญาข้อตกลงดังกล่าวนี้ จำเป็นต้องการได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนจากเจ้าหนี้รายอื่นๆ
ด้วย โดยคณะกรรมการเจ้าหนี้ระบุว่าต้องได้รับเสียงสนับสนุนเพียง 51% ทั้งที่ก่อนหน้านี้ระบุไว้
95% ทำให้เกิดความไม่แน่ใจว่าต้องได้รับเสียงสนับ สนุนเท่าใด
"เราพยายามประคับประคองดีลนี้มาตลอด แม้ ว่าการปรับโครงสร้างหนี้บริษัทฯ
จะไม่มีการแฮร์คัทเงินต้นและดอกเบี้ยเลย ผิดกับการปรับโครงสร้างหนี้ ของบริษัทฯ
อื่นๆ ที่เจ้าหนี้ถูกแฮร์คัตได้หนี้คืนเพียง 20-30% เมื่อเจ้าหนี้บอกว่าแผนเพิ่มทุนดีเลย์
เพราะผู้บริหารแผนถ่วง เพื่อผลประโยชน์ของเราไม่จริง เราอยากให้มีการเพิ่มทุนโดยเร็ว
เพื่อให้บริษัทแข็งแกร่ง" นางอรพินกล่าว
นอกจากนี้ สัญญาข้อตกลงที่บริษัทฯ ทำไว้กับปูนซีเมนต์นครหลวงนั้น ตามกฎหมายถือว่าสิ้นสุด
ลงแล้วเมื่อมิ.ย. 2545 ซึ่งปูนซีเมนต์นครหลวงมีสิทธิ ต่อสัญญาได้ โดยได้แจ้งว่า
จะต่อสัญญาต่อเมื่อเจ้าหนี้ทั้งหมดต้องลงคะแนนเสียงเห็นชอบตามสัญญาเอ็มอาร์เอฉบับใหม่
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เราก็ยังมีการเจรจากันอยู่ กับผู้บริหารของปูนซีเมนต์นครหลวง
ส่วนสัญญาร่วมทุนนั้นคงขึ้นอยู่กับคณะกรรมการเจ้าหนี้เป็นสำคัญ
"การที่เจ้าหนี้แจ้งว่า ได้รวบรวมคะแนนเสียงใกล้ครบ 66 เศษสองส่วนสาม
เพื่อปลดบริษัทออกจากการเป็นผู้บริหาร โดยเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบออโตเมติกนั้น
ถือเป็นการละเลยต่อกฎหมายไทยและตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา เจ้าหนี้ไม่เคยซัปพอร์ตเงินสักบาท
เราอยู่ได้เพราะความร่วมแรงใจของพนักงานและผู้บริหาร หากเจ้าหนี้มีความเมตตากว่านี้
บริษัทฯ คงแข็งแกร่งกว่านี้แล้ว"
สำหรับคณะกรรมการเจ้าหน้าของทีพีไอโพลีน ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย
เคเอฟดับบลิว ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ทั้ง 3 ราย มีสัดส่วนประมาณ 50% ของมูลหนี้ทั้งหมด
แฉเล่ห์คณะกรรมการเจ้าหนี้
จ้องปลดประชัยพ้นผู้บริหารแผน
นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีพีไอโพลีน กล่าวว่า
ที่ผ่านมา คณะกรรมการ เจ้าหนี้ได้หารือกับพันธมิตรร่วมทุน ไม่ว่าจะเป็นซีเม็กซ์
หรือปูนซีเมนต์นครหลวง โดยเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขสัญญาต่างๆ ตลอดเวลา เพื่อเตะถ่วงการเพิ่ม
ทุนให้ช้าลง โดยมีเป้าหมายหวังไล่ผู้บริหารแผนเดิม แล้วแต่งตั้งผู้บริหารแผนรายใหม่
เหมือนที่ทำกับทีพีไอ
"เจ้าหนี้เห็นว่าที่พีไอโพลีน เป็นบริษัทดี การจัดการดี และมีกำไรดี
จึงอยากที่จะเข้ามายึด โดยพยายามไล่ผู้บริหารแผนเดิมออกไป แล้วหาใครก็ได้
เข้ามาสวมแทน โดยไม่ได้รู้ว่าบริษัทที่ดำเนินอุตสาห-กรรม จำเป็นต้องมีผู้บริหารที่มีความชำนาญเฉพาะด้าน
ไม่ใช่รู้เฉพาะด้านการเงินอย่างเดียวมาบริหาร หากเขาแต่งตั้งใครเข้าดูแล
ก็ไม่ได้หมายความว่าทีพีไอโพลีนจะอยู่รอดได้"
การที่คณะกรรมการเจ้าหนี้เสนอให้แต่งตั้งบริษัท อินทนนท์ จำกัด เป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ
รายใหม่ โดยบริษัทดังกล่าวก็คือ บริษัท อาร์เธอร์ แอนเดอร์สันเดิม ที่มีปัญหามากในสหรัฐฯ
และประเทศอื่นๆ เกี่ยวกับการปกปิดข้อมูลจนต้องปิดตัวเองลง การแต่งตั้งบริษัทดังกล่าวมาเป็นผู้บริหารแผนแทนจึงไม่เป็นประโยชน์ที่ดีต่อลูกหนี้และเจ้าหนี้
ที่ผ่านมา ที่ปรึกษาอินทนนท์ (อาร์เธอร์ แอน เดอร์สัน) เป็นเพียงผู้สอบบัญชีมีความชำนาญในการตรวจสอบบัญชี
และทำหน้าที่ตรวจสอบกระแสเงินสดให้กับทีพีไอโพลีน การตั้งเป็นที่ปรึกษาจึงไม่มี
ความเชี่ยวชาญในการเข้ามาดูปฏิบัติการ การบริหาร และการผลิต และก่อนหน้านี้ที่ปรึกษาอินทนนท์ก็ดำเนินการและจัดทำรายงานกระแสเงินสดล่าช้า
ทั้งๆ ที่บริษัทมีความพร้อมในการให้ข้อมูลทั้งหมด
"ขณะนี้เรายังไม่ได้ผิดนัดอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็น ความล่าช้าในการเพิ่มทุน
และการตัดสินว่าบริษัทผิดนัดหรือไม่นั้น ไม่ใช่คณะกรรมการเจ้าหนี้ แต่เป็น
ศาลล้มละลายกลาง ซึ่งเชื่อว่าศาลจะนัดพิจารณาไต่สวนหาสาเหตุของความล่าช้าในการเพิ่มทุน
หากศาล มีคำสั่งเห็นว่าเป็นความผิดของผู้บริหารแผน ทางคณะกรรมการเจ้าหนี้ก็เป็นช่องทางปลดบริษัทออกจากการเป็นผู้บริหารแผนได้"
แจงฐานะการเงินไม่แย่อย่างที่คิด
นายประเสริฐ กล่าวถึง ผลการดำเนินงานในปี 2545 ว่า บริษัทคาดว่าจะมียอดขายรวม
1.7 หมื่นล้าน และ EBITDA 4 พันล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายเดิม ที่จะมี
EBITDA 4.7 พันล้านบาท เนื่องจากช่วงปลาย ปีที่แล้ว ต่อเนื่องมาถึงไตรมาสแรกปีนี้
ทางปูนซีเมนต์ นครหลวงทุ่มตลาดปูนเหลือเพียง 5 ถุง 100 บาท ทำ ให้ผู้ประกอบการปูนซีเมนต์ต้องแข่งขันราคาตามไปด้วย
ทำให้กำไรส่วนนี้หดหายไป แต่ปัจจุบันราคาปูน ปรับตัวดีขึ้นแล้ว
"ไตรมาส 4 ปีนี้ คาดว่าความต้องการใช้ปูนจะดีขึ้น คาดว่าทั้งปียอดการใช้ปูนซีเมนต์จะโตขึ้น
10-20% ตามการเติบโตของจีดีพีในประเทศ ขณะเดียวกันบริษัทเดินเครื่องผลิตปูนซีเมนต์เต็มกำลังการผลิตมาโดยตลอดทำให้ต้นทุนต่อหน่วยต่ำ"
ส่วนผลการดำเนินงานในปี 2546 นั้น ทีพีไอโพลีนคาดว่าจะมียอดขายรวม 1.9
หมื่นล้านบาท EBITDA เพิ่มขึ้นเป็น 6.5 พันล้านบาท แต่ทั้งนี้คงขึ้นอยู่กับความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ภายในประเทศเป็นสำคัญ
นายประเสริฐ กล่าวถึงสาเหตุที่บริษัทมีอัตราส่วนสภาพคล่อง (Current Ratio)
ต่ำอยู่ที่ 0.14 เท่านั้น เกิดจากผู้สอบบัญชียังคงจัดกลุ่มหนี้สินที่ได้จากการปรับโครงสร้างหนี้
(เป็นหนี้ระยะยาวตามแผนปรับโครงสร้างหนี้) เป็นหนี้ระยะสั้น ทำให้ตัวเลขดังกล่าวไม่สามารถสะท้อนสภาพคล่องที่แท้จริงได้
หากคำนวณสภาพคล่องที่จัดชั้นหนี้ตามการปรับโครงสร้างหนี้แล้วบริษัทจะมีอัตราส่วนสภาพคล่อง"
ณ 30 กันยายน 2545 อยู่ที่ 1.47 เท่า
หากบริษัทสามารถเพิ่มทุนขั้นต่ำ 180 ล้านเหรียญสหรัฐ ได้แล้วเสร็จ จะทำให้บริษัทมี
urrent Ratio อยู่ที่ 2.2 เท่า และปีต่อไปอยู่ที่ระดับ 2.3 เท่า