รัฐบาลเร่งชุบชีวิตธุรกิจ SME เพื่อสร้างความ อยู่รอดและความยั่งยืนของระบบเศรษฐกิจไทยผ่านเครือข่ายธนาคารของรัฐ
ทั้ง แบงก์กรุงไทย บอย. บสย. ตามแผนยุทธศาสตร์ของธนาคารพาณิชย์ของรัฐ อัดสินเชื่อเต็มพิกัดเกิน
2 แสนล้านบาท หวังสสว.ต้องแสดงบทบาทอย่างเต็มที่ในการเชื่อมโยงการพัฒนา SME
ให้เกิดการปรับ หวั่นรากเหง้าของปัญหาSME ยังเป็นอุปสรรค จี้รัฐต้องเร่งแก้ไขด่วน
วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ของไทยเป็น ธุรกิจที่มีการกระจัดกระจายครอบ
คลุมทั่วประเทศ การดำเนินธุรกิจใช้เงินลงทุนจำนวนไม่สูง และมีการ ใช้วัตถุดิบภายในประเทศเป็นปัจจัย
ต่อการผลิต มีขนาดเล็ก จึงมีความ คล่องตัวในการบริหารธุรกิจมากกว่าธุรกิจขนาดใหญ่
ขณะเดียวกัน ธุรกิจ SME ยังเป็นแหล่งที่ทำให้เกิดการจ้างงาน โดยเมื่อเปรียบเทียบกับธุรกิจขนาดใหญ่แล้ว
ธุรกิจ SME มีสัดส่วนการจ้างงานถึง 79% ขณะที่ธุรกิจขนาดใหญ่มีเพียง 21%
หน้ำซ้ำยังก่อให้เกิดมูลค่าต่อ GDP (นอกภาคเกษตร) ที่สูงถึง 1.7 ล้าน ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่เศรษฐกิจ ชะลอตัวอย่างรุนแรงตั้งแต่ปี 2540 ธุรกิจ
SME ได้รับผลพวงจากผลกระทบจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าด้านสภาพคล่องทางการเงิน
ปัญหาที่เกิดหนี้เสียในธุรกิจSMEจำนวนมาก ประกอบกับในการดำเนินธุรกิจหรือการสร้างผลิต
ภัณฑ์ยังมุ่งตอบสนองต้องการภายในประเทศเป็นหลักซึ่งไม่สอดรับกับนโยบายการค้าแบบเสรี
และแรงกดดันที่สำคัญอย่างยิ่งคือ การที่ประเทศจีนได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก
(WTO) แล้ว ทำให้สภาพของการแข่งขันทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เพราะด้วยศักยภาพ
ต้นทุน แรงงานที่ต่ำกว่า และการที่รัฐบาลของประเทศจีนพยายามส่งเสริมให้ธุรกิจหรือผู้ประกอบการในจีนปรับตัวให้สามารถแข่งขันทางด้านสินค้ากับตลาดต่างประเทศมากขึ้น
ทำให้ธุรกิจ SME ต้องตระหนักถึงภัยทางด้านการแข่งขันที่มากขึ้น
รัฐบาลเข้าใจถึงปัญหาของการพัฒนาเศรษฐกิจว่า หากต้องการให้เศรษฐกิจไทยมีความ
เข้มแข็งขึ้น สิ่งสำคัญคือ ธุรกิจระดับรากหญ้าอย่างธุรกิจ SME จะต้องพร้อมและแกร่งขึ้น
เพื่อ รับกับกระแสการแข่งขันของตลาดโลก
พิจารณาได้จากในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 9 (พ.ศ.2545-2549)
ในส่วนของ SME ได้กำหนดให้มีการพัฒนาSME เป็นระบบที่ครบวงจรผ่านสถาบันเฉพาะทางที่ได้รับการพัฒนาให้เข้มแข็ง
ควบคู่ไปกับการปรับใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มผลผลิตและประสิทธิภาพการบริหารจัดการ
พัฒนาทักษะแรงงาน คุณภาพการผลิต
แบงก์รัฐอัดสินเชื่อ 2 แสนล้าน เดินหน้าเต็มพิกัด
ตามที่ได้มีการประชุมมอบหมายนโยบายของรัฐบาลเรื่อง"การจัดทำแผนยุทธศาสตร์ของธนาคารพาณิชย์ของรัฐ"
โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการคลังขณะนั้นเป็นประธานและมีผู้เข้าร่วมประชุมจากธนาคารพาณิชย์และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องเมื่อวันพุธที่
5 มิ.ย.45 สามารถสรุปประเด็นในส่วนที่เกี่ยวข้องกับธนาคารกรุงไทย ซึ่งเป็นธนาคารของรัฐที่เป็นแกน
หลักในการปล่อยสินเชื่อให้กับเอสเอ็มอี
ซึ่งสาระสำคัญของแผนดังกล่าวก็เพื่อให้ธนาคารของรัฐมีส่วนร่วมในแผนยุทธศาสตร์ของประเทศ
ด้านสินเชื่อและเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และชุมชนโดยในความช่วยเหลือของธนาคารรัฐจะมีแผนการสนับสนุนในหลายด้านผ่านโครงการที่จัดตั้งขึ้น
มี 7 โครงการที่จะมีการกำหนดประเภทและแนวทางการปล่อยสินเชื่อให้กับธุรกิจ
SME และการจัดตั้งกองทุนซึ่งแต่ละกองทุนจะมีลักษณะที่แตกต่างกัน
โดยหน่วยงานที่เข้าร่วมในโครงการดังกล่าว ประกอบด้วยสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(สสว.) เป็นแกนในการดำเนินงาน ธนาคารของรัฐ บรรษัทค้ำประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม
(บสย.) บรรษัท เงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อม (บอย.)
ทั้งนี้ จากการรวบรวมเป้าหมายในการปล่อยสินเชื่อจะพบว่า ยอดรวมที่มีการกำหนดเป้า
ไว้รวมทั้ง 7 โครงการและ 3 กองทุนมียอดปล่อยกู้ ไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาท
โดยในส่วน 7 โครงการ มียอดรวม 165,000 ล้านบาท
เฉพาะแค่ธนาคารกรุงไทย (KTB) ถือได้ว่า เป็นธนาคารหลักและเป็นกำลังสำคัญในการเข้าช่วยเหลือธุรกิจ
SME ปล่อยกู้รวม 106,500 ล้าน บาท แบ่งเป็นในส่วนของ 7 โครงการ 78,500 ล้าน
บาทและร่วมจัดตั้งกองทุน 3 กองเป็นเงินจำนวน 28,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ธนาคารจะร่วมประสานกับสสว. ในด้านสนับสนุนข้อมูลสินเชื่อและข้อมูลของลูกค้าที่ธนาคารให้การอำนวยสินเชื่อ
ส่วนรวมในการปรับเปลี่ยนระบบงานและผังองค์กรของสสว.เพื่อให้การดำเนินงานตามโครงการได้ผล
จึงให้มีการจัดตั้งฝ่ายตรวจสอบ ( Steering Committee) เพื่อบริการให้เป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์
มุ่งสินเชื่ออาจไร้ผล รัฐต้องแก้จุดอ่อน SME
อย่างไรก็ตาม โดยรากฐานและการดำเนิน ธุรกิจของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจำนวนไม่น้อย
ยังไม่มีการปรับตัวให้เข้ากับกระแสของโลกการค้าแบบไร้พรมแดนที่นับวันการแข่งขันจากจะยิ่ง
ทวีความรุนแรงอีกทั้งผู้บริโภคซึ่งเป็นผู้ซื้อมีช่องทางและมีอำนาจในการซื้อสินค้ามากขึ้น
การที่รัฐบาลจะคาดหวังให้การพัฒนาของเอสเอ็มอีก้าวสู่เอสเอ็มอีที่มีศักยภาพ
และขยายผลของธุรกิจสู่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของประเทศในอนาคต ยังมีหลายปัญหาที่ทั้งภาครัฐและตัวผู้ประกอบการยังต้องสะสางเพื่อให้บรรลุ
เป้าหมายแห่งนโยบายของรัฐและการนำพาเศรษฐกิจของประเทศให้มีความเข้มแข็ง
สำหรับปัญหาที่เป็นอุปสรรคพื้นฐานของธุรกิจ SME สามารถแยกออกได้ คือ
1) ปัญหาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม SMEส่วนใหญ่ไม่ลงทุนในกิจกรรมการวิจัยและพัฒนา
ทำให้คุณภาพสินค้าต่ำลงเป็นอุปสรรค ต่อการนำเทคโนโลยีระดับสูงมาใช้ผลิตสินค้าใหม่,
SMEมีขนาดเล็กจนไม่สามารถพัฒนาหรือจัดหาเทคโนโลยีที่ทันสมัยได้เอง, เอสเอ็มอีที่เป็นผู้ส่งออกยังขาดความสามารถในการปรับเปลี่ยนรูปแบบสินค้าตามความต้องการของลูกค้า
2) ปัญหาด้านการตลาด SME ไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคาสินค้า
ในระดับที่ต่ำกว่าจีน เวียดนาม อินเดีย อินโดนีเซีย, SME เสียเปรียบธุรกิจขนาดใหญ่ในการเข้าถึงการจัดซื้อ/จัดจ้างของภาครัฐ
ทั้งด้านเงื่อนไข การ รับข้อมูล และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่อหน่วย ที่สูงกว่า,
SME ส่วนใหญ่ยังขาดบุคลากร ตลอด จนความรู้ ความสามารถในการเจาะตลาดทั้งในและต่างประเทศ
3) ปัญหาด้านสภาพแวดล้อมในการทำธุรกิจ SME ส่วนใหญ่ไม่ทราบถึงนโยบายส่งเสริม
ของภาครัฐ ตลอดจนหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง, SME ไทยมักขาดระบบข้อมูลที่เชื่อมโยงถึงกัน
ทำให้เป็นอุปสรรคในการช่วยเหลือได้ตรงจุดและรวดเร็ว, SME ไทยมักไม่เสนอขอรับการส่งเสริมจากบีโอไปเนื่องจากยังไม่มีความพร้อมมากนักต่อการเข้าสู่ระบบข้อมูลที่ดี
และโปร่งใส
4) ปัญหาด้านทรัพยากรมนุษย์ SMEส่วนใหญ่ขาดแคลนบุคลากรที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะด้านวิศวกรรมรวมทั้งยังขาดการบริหารจัดการที่ดี,
การฝึกอบรมและหลักสูตรที่เหมาะสม และสามารถนำไปใช้ได้จริงในปัจจุบันยังมีน้อยธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่ยังไม่สามารถขยายฐาน
การดำเนินงานในเรื่องนี้ให้สอดคล้องกับความพยายามในการขยายสินเชื่อ
ที่สำคัญคือ ผู้ประกอบการ SME ส่วนใหญ่ ยังเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคในการขอสินเชื่อ
จากสถาบันการเงิน กล่าวคือสภาพการณ์หลังเกิด วิกฤติเศรษฐกิจทำให้สถาบันการเงินเปลี่ยนวิธีการพิจารณาสินเชื่อโดยเน้นด้านเอกสารประกอบ
การจัดการที่โปร่งใส ระบบบัญชีมาตรฐานและหลักทรัพย์ค้ำประกันทำให้ SME ส่วนหใญ่ไม่ผ่านการพิจารณาและต้องเผชิญกับปัญหาที่รุนแรงขึ้นเพราะขาดสภาพคล่องทางการเงินอยู่แล้ว
มีภาระหนี้สินสูงเมื่อเทียบกับทุน
อย่างไรก็ตาม การกำหนดให้สสว.เป็นแกน หลักในการประสานและกำหนดนโยบายในการช่วยเหลือธุรกิจ
SME จะต้องเข้าใจถึงปัญหาและจะต้องกำหนดแผนที่ชัดเจนที่ไม่เป็นอุปสรรค ต่อการขยายสินเชื่อของธนาคารของรัฐ