|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนบวกกับปัจจัยลบจากภายในและนอกประเทศที่เกิดขึ้น ล้วนแต่เป็นตัวแปรหลักที่ทำให้ทุกกลุ่มอุตสาหกรรมต้องปรับตัว เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ในช่วงที่ผ่านมา เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการจัดสรรหลายรายทั้งรายเล็กและรายใหญ่ต่างก็หันมาทำตลาดที่อยู่อาศัยระดับกลาง ซึ่งเป็นตลาดที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยจริง และเป็นตลาดเดียวที่ยังมีกำลังซื้อ หลังจากความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจทำให้กำลังซื้อในตลาดระดับบนและระดับล่างชะลอตัวลง แม้ว่าจะมีบริษัทลูกอย่าง บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พาร์ทเนอร์ จำกัด และมีพันธมิตรอย่าง บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ ทำตลาดบ้านระดับกลางอยู่แล้ว ประกอบกับ บมจ.แสนสิริ เองจับตลาดที่อยู่อาศัยระดับบนมาโดยตลอด แต่ด้วยภาวะการแข่งขันและสถานการณ์ทางการตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป แสนสิริ จึงจำเป็นต้องปรับตัว เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
วันจักร์ บุรณศิริ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บมจ.แสนสิริ หรือ SIRI กล่าวถึงทิศทางการดำเนินงานในปี 49 ว่า บริษัทมีนโยบายขยายฐานลูกค้าตลาดบ้านระดับกลางที่มีราคาขาย 3-9 ล้านบาทมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค และสถานการณ์ทางการตลาด โดยเน้นลงทุนพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์สราญสิริ และเศรษฐสิริ มากกว่าการลงทุนพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์บ้านแสนสิริ และนราสิริ ซึ่งเป็นโครงการที่อยู่อาศัยระดับบน
สำหรับแบรนด์ สราญสิริ และ เศรษฐสิริ เจาะตลาดบ้านระดับกลางถึงกลางบน โดย สราญสิริ มีราคาขายเฉลี่ย 3-5 ล้านบาทต่อยูนิต ส่วน เศรษฐสิริ มีระดับราคาขาย 5-10 ล้านบาทต่อยูนิต ในขณะที่ บ้านแสนสิริ และ นราสิริ เจาะตลาดบ้านระดับบน โดย นราสิริ มีราคาขายเฉลี่ยต่อยูนิตตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไปแต่ไม่เกิน 25 ล้านบาท ส่วน บ้านแสนสิริ เจาะตลาดบ้านหรูที่มีราคาขายตั้งแต่ 26-54 ล้านบาทต่อยูนิต
โดยหลังจากปรับเปลี่ยนนโยบายการลงทุนแล้วจะทำให้สัดส่วนการลงทุนพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์บ้านแสนสิริและนราสิริจะลดลงจาก 60% เหลือ 40% ในปีหน้า ในขณะที่แบรนด์เศรษฐสิริจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 25% เป็น 45% ส่วนแบรนด์สราญสิริจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 13% เป็น 15%
"ตลาดบ้านระดับกลางมีแนวโน้มการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น การเข้ามาทำตลาดของ แสนสิริ จึงต้องนำกลยุทธ์ mass marketting มาใช้เป็นกลยุทธ์หลักในการทำตลาด ควบคู่ไปกับการเลือกทำเลที่ตั้งที่มีศักยภาพ โดยในส่วนของบ้านเดี่ยวจะเน้นลงทุนในทำเลเกาะติดถนนสายหลัก หรือเกาะแนววงแหวน เพื่อความสะดวกในการเดินทาง ส่วนทาวน์เฮาส์จะเน้นการลงทุนในทำเลเกาะติดแนวรถไฟฟ้า"
สำหรับในปีนี้คาดว่าบริษัทจะมียอดรับรู้รายได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 10,000 ล้านบาท โดยมีผลกำไรจากการดำเนินงานประมาณ 1,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 47 ที่มีผลกำไร 500 ล้านบาท โดยในปีหน้าคาดว่าบริษัทจะมีอัตราการเติบโต 15-20% จากปีนี้ ในขณะที่ตลาดอสังหาฯ โดยรวมน่าจะมีอัตราการเติบโต 5% ในปีหน้า
|
|
|
|
|