Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน13 ตุลาคม 2548
ไทยยูนีคคอยล์ขายหุ้นกลางพ.ย. ปี49กำลังการผลิต77,050ตัน/ปี             
 


   
search resources

Investment
ไทยยูนีคคอยล์เซ็นเตอร์, บมจ.




"ไทยยูนีคคอยล์" เดินหน้าเข้าตลาดหุ้น พร้อมขายหุ้น ให้ประชาชนกลางเดือน พ.ย. ตั้งเป้า รายได้ปีนี้แตะพันล้านบาท มั่นใจเติบโตในระดับสูง หลัง 3-4 ปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมโตเฉลี่ย 15% ด้าน บล.อินเทลวิชั่น ที่ปรึกษาฯ ไร้กังวลพื้นฐาน

นายยงยุทธ งามไกวัล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูนีคคอยล์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TUCC กล่าวถึงความพร้อมในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดยบริษัทเตรียมที่จะขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 85 ล้านหุ้น มูลค่า ที่ตราไว้ (พาร์) 1 บาท ซึ่งคาดว่าจะ สามารถขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปได้ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน

ทั้งนี้บริษัทได้แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) อินเทลวิชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งคาดว่าจะสามารถกำหนดราคาจองซื้อหุ้นได้ในภายหลังการสำรวจความสนใจของนักลงทุน

"เราเชื่อว่าอัตราการเติบโตของ บริษัทจะอยู่ในระดับสูง เนื่องจาก 3-4 ปีที่ผ่านมาการเติบโตของอุตสาหกรรมเฉลี่ยถึง 15% ซึ่งบริษัทก็สามารถเติบโตได้สูงกว่าอุตสาหกรรมโดยตลอด โดยระดับพีอี เรโช กลุ่มอุตสาหกรรมอยู่ที่ 7.9 เท่า" นายยงยุทธกล่าว

สำหรับรายได้ในปีนี้ประมาณ การที่ 1,192 ล้านบาท โดยเติบโตจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 807 ล้านบาท หรือเติบโต 48% และคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตในอัตราเดียวกันในปี 2549 เนื่องจากหลังเข้าตลาดหลัก-ทรัพย์ฯจะดำเนินการขยายกำลังการผลิตส่งผลให้บริษัทมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 77,050 ตันต่อปี จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิต 49,600 ตันต่อปีและมีต้นทุนที่ ลดลง รวมทั้งขยายการส่งออกไปยังต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าสัดส่วนการส่งออกจะเพิ่มเป็น 5-10% ในปี 2549 โดยส่งออกไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สหรัฐอเมริกา

ทั้งนี้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทมีประมาณ 15% เงินที่ได้จากการระดมทุนจะนำไปชำระหนี้กับสถาบันการเงินจำนวน 40% โดย ปัจจุบันบริษัทมีหนี้สินจำนวน 420 ล้านบาท ซึ่งเงินที่เหลือจากการระดมทุนจะใช้เป็นเงินทุนหมุน เวียนภายในบริษัท

"ไม่กังวลในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯแม้ว่าจะมีหุ้นขนาดใหญ่เข้าจดทะเบียนในเดือน พ.ย.จำนวนมาก เนื่องจากธุรกิจของบริษัทยังมีช่องว่างการเติบโตจำนวนมาก"

ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 368 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 368 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท และมีทุนเรียก ชำระแล้ว 168 ล้านบาท ภายหลังการขายหุ้นเพิ่มทุนจะทำให้ทุนเรียกชำระแล้วเป็น 253 ล้านบาท โดยทุนจดทะเบียนที่ยังไม่เรียกชำระส่วนที่เหลืออีก 115 ล้านบาท บริษัทยังไม่มีนโยบายเรียกชำระ โดยปัจจุบันหนี้สินต่อทุนของบริษัทอยู่ที่ 3.38 เท่าและภายหลังเพิ่มทุนจะไม่เกิน 2 เท่า

สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัทภายหลังการกระจายหุ้นให้ประชาชน อันดับ 1.นายยงยุทธ งามไกวัล สัดส่วน 64.61% อันดับ 2.นางวัชรีย์ งามไกวัล สัดส่วน 1.91% อันดับ 3.นายแสงทอง งามไกวัล สัดส่วน 0.02% ขณะที่สัดส่วนที่จะมีการเสนอขายให้ประชาชน 36.60%

อนึ่ง บริษัท ไทยยูนีคคอยล์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ประกอบ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สเตนเลส ทั้งในรูปแบบของวัตถุดิบที่ไม่ได้แปรรูป ได้แก่ ม้วน สเตนเลส และที่แปรรูปแล้ว ได้แก่ ผลิตภัณฑ์สเตนเลสประเภทท่อ คือ ท่ออุตสาหกรรม ท่อเฟอร์นิเจอร์ และประเภทแผ่นสเตนเลสต่างๆ

นายอัฎฐ์ อัศวานันท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวาณิชธนกิจ บล. อินเทล วิชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าว ว่า คาดว่าหุ้น บมจ.ไทยยูนีคคอยล์ เซ็นเตอร์จะสามารถเทรดได้ในช่วง ปลายเดือนพฤศจิกายน หรือหลังจากการขายหุ้นให้กับประชาชนประมาณ 1-2 สัปดาห์ ทั้งนี้ เชื่อว่า ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมจะมีหุ้นบริษัทจำนวนมากที่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจาก ต้องการรับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีประกอบกับจะมีหุ้นขนาดใหญ่ ทั้งบมจ.กฟผ. และ บมจ.ไทยเบฟ-เวอเรจ เข้าจดทะเบียนในช่วงท้าย ของปี ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่าการเข้าซื้อขายในช่วงหลังที่หุ้นใหญ่ 2 บริษัทเข้าจดทะเบียนจะเป็นช่วงที่ดี เนื่องจากนักลงทุนจะกลับมาให้ความสนใจกับตลาดหุ้นอีกครั้ง

"ช่วง 1-2 เดือนสิ้นปีนี้ คงเป็น ช่วงที่ตลาดหุ้นคึกคัก เพราะหลายบริษัทเตรียมจะเข้าตลาด การเข้าหลัง 2 บริษัทใหญ่น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด" นายอัฎฐ์กล่าว   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us