"บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา" ประธานเครือสหพัฒน์ เชื่อมั่นภาพรวมเศรษฐกิจ
ของประเทศมีอนาคตสดใส แต่ยังไม่ลงลึกถึงระดับรากหญ้า ชี้คนใช้จ่ายเงินเกินตัวเพราะการ
ปล่อยบัตรเครดิต การลดดอกเบี้ย ส่งผลให้คนหันมาซื้อบ้าน รถยนต์ รวมทั้งโทรศัพท์มือถือผ่านระบบเงินผ่อนกันเป็นจำนวนมาก
เกรงกระทบการใช้จ่ายในอนาคตที่กำลังซื้ออาจลดลง โดยเฉพาะปีนี้สหพัฒน์ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว
ที่ยอดขายปีนี้แค่ทรงตัว แต่ยังขยายการลงทุน ด้วยการจับมือมหาวิทยาลัยวาเซดะ
เปิดสถาบันสอนภาษาญี่ปุ่น หวังผลระยะยาวดึงนักลงทุนญี่ปุ่นเข้าไทยมากขึ้น
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ เปิดเผยถึงภาพรวมของการดำเนินธุรกิจของเครือสหพัฒน์ในปีนี้ว่า
ไม่เติบโตดังเช่นปีก่อน โดยหลังจากที่เกิดภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ สหพัฒน์ก็ยังสามารถรักษาการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
จนถึงปี 2544 ส่วนในปีนี้ พบว่ายอดขายไม่เติบโต เนื่องจากในช่วงหลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ
ประชาชน หยุดการใช้จ่ายในการซื้อสินค้าที่มีราคาแพง เช่น บ้าน รถยนต์ หรือของใช้ที่มีราคาแพง
ในขณะที่ยังคงใช้จ่ายสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับชีวิตประจำวันเป็นหลัก
แต่สำหรับในปีนี้พบว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศเริ่มดีขึ้น เห็นได้จากการขยายตัวของภาคธุรกิจ
และการกลับมาฟื้นตัวอีก ครั้งของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวม ทั้งการขยายตัวของอุตสาหกรรมรถยนต์
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสนับสนุนทั้งอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง การขยายตัวของบัตรเครดิตที่ให้สินเชื่อแก่ผู้มีรายได้น้อย
การขยาย ตัวของธุรกิจเงินผ่อน ส่งผลให้ประชาชนหันมาใช้จ่ายเงินในการซื้อสินค้าชิ้นใหญ่กันเป็นจำนวนมาก
อาทิ บ้าน ที่ดิน รถยนต์ โทรศัพท์มือถือ โดยเฉพาะการซื้อสินค้าด้วย ระบบเงินผ่อน
ซึ่งหมายถึงการนำเงินในอนาคตมาใช้จ่ายล่วงหน้า ส่งผลให้กำลังซื้อในอนาคตคาดว่าจะลดลง
เนื่องจากภาวะที่สร้างไว้ในปัจจุบัน
จากผลที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลให้ยอดขายสินค้าในเครือสหพัฒน์ในปีนี้ไม่เติบโตดังเช่นปีก่อน
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าสถานการณ์คงไม่ถึงกับทำให้บริษัทต้องติดลบ เนื่องจาก
สินค้าอุปโภคบริโภค เป็นสินค้าที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน ที่อย่างไรผู้บริโภคก็ยังต้องซื้อไว้ใช้อยู่นี้
สำหรับการปรับตัวเพื่อรับกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ทางสหพัฒน์ได้เน้นการ
นำเสนอสินค้าใหม่ๆออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินค้าที่เน้นนวัตกรรม
ซึ่งช่วยทำให้เกิดผลตอบรับจากผู้บริโภคได้อย่างทันที เช่น การออกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่า
รสต้มยำกุ้งน้ำข้น เป็นรายแรกในตลาด ซึ่งสร้างกระแสการตอบรับจากผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี
"สำหรับภาวะเศรษฐกิจในปีนี้ ผมเชื่อว่าก็ยังจะเติบโตมากขึ้นแม้ว่าจะยังไม่ลงลึกถึงในระดับรากหญ้าก็ตาม
เนื่องจากนโยบายของรัฐบาลในสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ชุมชน ด้วยการสนับสนุนและส่งเสริมโครงการ
1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์ หรือการจัดสรรกองทุนหมู่บ้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีในการกระตุ้นให้เกิดการพัฒนา
แต่รัฐยังขาดการตรวจสอบติดตาม จึงทำให้เกิดปัญหารั่วไหลของเงินออกสู่นอกระบบ
ซึ่งผมอยากให้รัฐบาลหันมาใส่ใจกับการบริหารเงินกองทุนหมู่บ้านอย่างรัดกุม
เพื่อให้เงินที่จัดสรรเกิดประโยชน์สูงสุดต่อส่วนรวม"
นายบุณยสิทธิ์กล่าวอีกว่า สำหรับแผนการ ทำธุรกิจของสหพัฒน์ในปีหน้านั้น
จะเน้นเรื่องการ เพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดให้มากขึ้น เนื่องจากในปีนี้เป็นปีที่การแข่งขันในวงการสินค้าอุปโภคบริโภคมีอย่างรุนแรง
ทำให้บริษัทไม่เน้นเรื่องส่วนแบ่งการตลาดมากนัก เพราะต้องพยายามรักษาผลกำไรของบริษัทเอาไว้
แต่ในการทำธุรกิจ ก็ต้องพยายามรักษาสมดุลทั้งผลกำไร และส่วนแบ่งทางการตลาดให้เกิดความสมดุล
จึงทำให้ในปีหน้าเครือสหพัฒน์ต้องหันมาเน้นการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดให้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในปีนี้สหพัฒน์จะไม่เติบโตดังที่คาดไว้ แต่ก็นับเป็นครั้งแรกที่สหพัฒน์ได้เริ่มขยายธุรกิจใหม่อีกครั้ง
หลังจากที่หยุดขยายธุรกิจมาตั้งแต่ เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ด้วยการร่วมมหาวิทยาลัยวาเซดะ
ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังของประเทศญี่ปุ่น ที่มีอายุกว่า 120 ปี ด้วยการเปิดเป็นสถาบันภาษาและวัฒนธรรมญี่ปุ่น
ภายใต้ชื่อ วาเซดะ เอ็ดดูเคชั่น ไทยแลนด์ ที่ดำเนินการภายใต้บริษัท วาเซดะ
เอ็ดดูเคชั่น (ไทยแลนด์) จำกัด โดย สหพัฒน์เป็นผู้ลงทุนทั้งหมด มีทุนจดทะเบียน
25 ล้านบาท ส่วนมหาวิทยาลัยวาเซดะจะสนับสนุน ด้านอาจารย์ผู้สอน และหลักสูตรการเรียนการสอน
ซึ่งจะเริ่มเปิดสอน 2 หลักสูตร คือ ภาษาญี่ปุ่น และญี่ปุ่นศึกษา
โดยหลักสูตรภาษาญี่ปุ่น แบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ ระดับชั้นต้น เพื่อให้มีความรู้พื้นฐานด้านการพูด
ฟัง อ่าน และเขียน, ระดับชั้นกลาง เพื่อให้มีความสามารถเข้าใจการพูด ฟัง
อ่าน และเขียนได้อย่างลึกซึ้ง และสามารถใช้ภาษาได้อย่างถูกต้อง ส่วนระดับสูง
เป็นการเตรียมความ พร้อมทางด้านภาษาญี่ปุ่น เพื่อการเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี
ที่ประเทศญี่ปุ่น
ส่วนหลักสูตรของญี่ปุ่นศึกษา จะเน้นเรื่อง การเรียนวัฒนธรรม ประเพณี เศรษฐกิจการเมือง
และการดำเนินชีวิตแบบชาวญี่ปุ่น เพื่อเตรียมให้ผู้เรียนมีความพร้อมที่จะไปใช้ชีวิตในการเป็นนักศึกษาในประเทศญี่ปุ่น
ซึ่งทั้งสองหลักสูตรนี้จะเปิดสอนทั้งภาคปกติ และภาคค่ำ เพียงเทอมละ 60 คนเท่านั้น
เพราะต้องการเน้นคุณภาพ โดย ผู้เรียนจะเสียค่าใช้จ่ายในการศึกษาประมาณ 20,000
บาทต่อเดือน ซึ่งหากเทียบกับไปศึกษาที่ญี่ปุ่นแล้ว จะต้องเสียเฉพาะค่าเรียนเดือนละ
60,000 บาท และเมื่อคิดรวมตลอดทั้งหลักสูตร โดยภาคปกติ ใช้เวลาเรียก 1 ปี
ส่วนภาคค่ำใช้เวลาเรียน 2 ปี จะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 2 แสนบาท ในขณะที่หากผู้เรียนไปเรียนที่ญี่ปุ่นจะต้อง
เสียค่าใช้จ่ายกว่า 1 ล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมค่าที่พักด้วย
นายบุณยสิทธิ์ กล่าวว่าในความตั้งใจจริงของตนนั้น ต้องการให้เปิดการสอนตั้งแต่ระดับมัธยม
ไปจนถึงระดับปริญญาตรี และระดับเอ็มบีเอ แต่เนื่องจากครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่วาเซดะ
ขยายการศึกษาออกนอกประเทศเป็นครั้งแรก จึงต้องการทดลองเพียงแค่การสอนในเรื่อง
ของภาษาก่อน และคาดว่าในระยะ 2 ปีหลังจากเปิดให้บริการจะมาเจรจากันอีกครั้ง
เพื่อจัดตั้งเป็น มหาวิทยาลัยวาเซดะ ในประเทศไทย
"การที่ผมสนใจลงทุนในธุรกิจการศึกษา ภาษาญี่ปุ่นนั้น ไม่ได้คาดหวังเรื่องผลกำไร
แต่มองว่าเป็นการลงทุนในระยะยาวมากกว่า เนื่อง จากความร่วมมือของสหกรุ๊ปกับวาเซดะในครั้งนี้
จะช่วยให้คนญี่ปุ่นรู้จักสหกรุ๊ปมากยิ่งขึ้น ถือเป็นการประชาสัมพันธ์บริษัทที่ดีทางหนึ่ง
เพราะการลงทุนทางด้านการศึกษา สร้างความน่าเชื่อถือให้แก้บริษัทได้เป็นอย่างดี"
นอกจากนี้ นายบุณยสิทธิ์ ยังมองเห็นว่า แนวโน้มการขยายการลงทุนของกลุ่มธุรกิจในประเทศญี่ปุ่นมายังประเทศไทยจะมีมากขึ้นในอนาคต
เนื่องจากปัจจุบันญี่ปุ่นมีความเสียเปรียบ เรื่องต้นทุนการผลิต และการขยายการลงทุนเข้าไปยังประเทศจีน
ก็ไม่สามารถแข่งขันกับนักลงทุนท้องถิ่นได้ ในขณะที่ประเทศไทยน่าจะเหมาะสมและเป็นประเทศที่มีศักยภาพ
"ที่ผ่านมามีนักธุรกิจญี่ปุ่น โดยเฉพาะเอสเอ็มอี สนใจจะเข้ามาลงทุนในไทยเป็นจำนวน
มาก โดยมีการเจรจาผ่านทางสหพัฒน์หลายราย แต่เรายังไม่อยากให้เข้ามามากเนื่องจากเกรงว่าจะสื่อสารไม่เข้าใจเพราะคนไทยยังรู้ภาษาญี่ปุ่นน้อย
แต่หากได้เรียนรู้ภาษาญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นเชื่อว่าโอกาสที่นักลงทุนจะขยายการลงทุนเข้ามาในประเทศไทยจะมีสูงขึ้นอย่างแน่นอน
โดยการลงทุนผ่านเครือสหพัฒน์ในขณะนี้ก็ยังอยู่ในขั้นการเจรจากับ 2-3 บริษัท
คาดว่าจะสรุปผลการลงทุนได้ในเร็วๆนี้ จากที่ผ่านมาที่สหพัฒน์ลงทุนร่วมกับบริษัทญี่ปุ่นแล้วกว่า
100 บริษัท" นายบุณยสิทธิ์กล่าว