เอ็มเอฟซีคาดกองทุนวายุภักษ์ 1 สามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหน่วยได้ไม่ต่ำกว่า 5% ในปีนี้ อานิสงส์ดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงขาขึ้น ขณะเดียวกันยังกอดเงินสดกว่า 6.6 พันล้านบาท สำหรับร่วมทุนใน "ทีพีไอ" คาดได้ข้อสรุปภายในวันที่ 4 พ.ย.นี้

นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการ ผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการกองทุน วายุภักษ์ 1 เปิดเผยว่า ผลการดำเนิน งานของกองทุนวายุภักษ์ในปีนี้คาดว่าจะสามารถจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วย ลงทุนได้ไม่ต่ำกว่า 5% แน่นอน เนื่อง จากภาพรวมการลงทุนในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้คาดว่าแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้น ไทยน่าจะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น

สำหรับพอร์ตการลงทุนในตลาดหุ้นปัจจุบันกองทุนวายุภักษ์ลงทุนในตลาดหุ้นประมาณ 9 หมื่นล้านบาท และอีก 1 หมื่นล้านบาท ลงทุนในตราสารหนี้

นายพิชิต กล่าวว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้น ส่งผลดีกับพอร์ตการลงทุนในตราสารหนี้ ของบริษัทที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้นตาม แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในประเทศ

อย่างไรก็ตาม กองทุนวายุภักษ์ยังคงให้น้ำหนักกับการลงทุนในตลาดหุ้นมากกว่า และยังไม่มีนโยบาย ปรับพอร์ตการลงทุนในตราสารหนี้เพิ่ม โดยรูปแบบการลงทุนจะปรับลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นบางตัวที่มีราคาสูง ขึ้นมาก และหันไปลงทุนในหุ้นบางตัวที่มีปัจจัยพื้นฐานแกร่ง แต่ราคายังไม่สูงมากนัก เพื่อสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน

ส่วนความคืบหน้าในการลงทุนในหุ้นบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) (ทีพีไอ) นาย พิชิต กล่าวว่า กองทุนวายุภักษ์ยังยืนยันที่จะลงทุนในหุ้น TPI มูลค่า 6,600 ล้านบาท เนื่องจากเห็นว่าเป็น การลงทุนที่จะสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน

หลังจากที่ศาลมีคำสั่งตามคำร้องของผู้บริหารแผนที่ขอให้ศาลมีคำสั่งให้พันธมิตรสามารถเรียกประชุมผู้ถือหุ้นได้หลังจากออกจากแผนฟื้นฟูซึ่งศาลจะมีคำสั่งในวันที่ 25 ตุลาคมนี้ โดยในเบื้องต้นผู้บริหารแผน ยังยืนยันว่ากระบวนการการชำระค่าหุ้นจะเสร็จทันในวันที่ 4 พฤศจิกายน
สำหรับประวัติการจ่ายเงิน ปันผลของกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 หลังการจัดตั้งตาม มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2546 ซึ่งกองทุน มีนโยบายคุ้มครองเงินต้น และอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำมูลค่าโครงการ 100,000 ล้านบาท อายุโครงการ 10 ปี นั้น กองทุนรวมวายุภักษ์ 1 มีการจ่าย ปันผลไปแล้ว 3 ครั้ง

โดยครั้งที่ 3 จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 มกราคม -30 มิถุนายน 2548 ในอัตรา 2.50% หรือ 0.25 บาทต่อ 1 หน่วยลงทุน สำหรับหน่วยลงทุนประเภท ก. ซึ่งมีประชาชนทั่วไปและนิติบุคคลทั่วไปเป็นผู้ถือหน่วยลงทุน จำนวน 7,000 ล้านหน่วย ลงทุน โดยกำหนดการปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหน่วยลงทุนวันที่ 28 กรกฎาคม 2548 และจ่ายเงินปันผลไป แล้วเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ที่ผ่านมา