|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
"พฤกษา" ระบุต้นทุนน้ำมัน-ดอกเบี้ยขึ้น ส่งผลกระทบกำลังซื้อของผู้บริโภคลดฮวบ 18% ทำให้ผู้บริโภคต้องปรับลดราคาบ้านที่ต้องซื้อลง ด้านเอ็มดีคนใหม่ของ SC แนะผู้ประกอบการทุนน้อย อย่าโหมโฆษณาแบบเหวี่ยงแห เพราะไม่คุ้มทุน ขณะที่แบงก์กรุงศรีฯฟันธงปีหน้า ผู้ประกอบการต้องหาจัดแคมเปญ ส่งเสริมการขายแรงๆ จึงจะดึงดูดการตัดสินใจซื้อของลูกค้าได้
นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษาเรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ในฐานะกรรมการบริหารสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผยภายในงานสัมมนาเรื่อง "การตลาดโค้งสุดท้ายปี พ.ศ.2548 ทาวน์เฮาส์ คอนโดมิเนียม มาแรงจริงหรือ" ซึ่งทางสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทยจัดขึ้นเมื่อวานนี้ (11 ต.ค.) ว่า ราคาน้ำมันที่ได้ปรับตัวสูงขึ้น มีผลกระทบต่อธุรกิจบ้านจัดสรรพอสมควร โดยปัจจัยการปรับขึ้นของ ราคาน้ำมัน ส่งผลให้ต้นทุนราคาสินค้าปรับสูงขึ้น กำลังซื้อบ้านของผู้บริโภคลดลง 6% ประกอบกับภาวะของอัตราดอกเบี้ยที่มีการปรับตัว สูงขึ้น ส่งผลให้กำลังซื้อบ้านลดลงอีก 12% ดังนั้น เมื่อรวม 2 ปัจจัยเข้าด้วยกันทำให้กำลังการซื้อบ้านของผู้บริโภคลดลงถึง 18% ทำให้ผู้บริโภคลดขนาดยูนิตที่ต้องซื้อลงจากเดิมที่จะซื้อได้ อาทิ เดิมจะซื้อบ้านระดับราคา 2 ล้านบาท ปัจจุบันสามารถซื้อบ้านได้เพียง 1-1.5 ล้านบาทเท่านั้น
ทั้งดอกเบี้ยและน้ำมันส่งผลกระทบโดยตรงต่อลูกค้าระดับกลาง-ล่าง และจะส่งผลต่อเนื่องไปถึงปีหน้าด้วย และแม้ว่ากำลังซื้อจะลดลง แต่ความต้องการซื้อบ้านก็ยังคงมีอยู่ โดยดอกเบี้ยปรับขึ้น 1% ส่งผลให้ภาระการชำระหนี้เงินกู้เพิ่มสูงขึ้น 7%
ด้านนายสหัส ตันติคุณ กรรมการอำนวยการ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากนี้ไปการแข่งขัน ของผู้ประกอบการจะแข่งขันในเรื่องส่วนแบ่งฐานลูกค้า มากกว่าส่วนแบ่งการตลาด ดังนั้น หากผู้ประกอบการรายใดที่มีสภาพคล่อง ทางการเงินจำกัด ก็ควรที่จะเปลี่ยนวิธีการขายใหม่ จากเดิมที่เน้นการลงโฆษณาในสื่อที่เป็นแมสมีเดีย เป็นการทำตลาดและโฆษณาแบบบีโลว์ เดอะไลน์ให้มากขึ้น คือ ใช้ช่องทางของการจัดสำนักงานขายที่ดูดี หรือการสร้างและตกแต่งบ้านตัวอย่างให้สวยงาม รวมทั้งใช้วิธีไดเรกต์เมล์ถึงลูกค้าให้มากขึ้น เพราะใช้ เงินน้อยส่งผลให้ประหยัดต้นทุนได้ ในส่วนของผู้ประกอบการที่มีเงินทุนอยู่แล้วคงไม่น่าเป็นห่วง เพราะการทำโฆษณาก็เป็นการสร้างแบรนด์ได้อย่างหนึ่ง
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายบริหารธุรกิจ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2549 ความต้องการคอนโดมิเนียมและทาวน์เฮาส์ยังคงมีอยู่ โดยคอนโดฯ ที่มีราคาขายตารางเมตรละไม่เกิน 3 หมื่นบาทติดกับแมสทรานซิส และคอนโดฯย่านชานเมือง ซึ่งเป็น ความต้องการของกลุ่มคนทำงานเป็นหลัก
นายคงพันธุ์ ปราโมช ณ อยุธยา กรรมการบริหารสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่า ราคาบ้านในปีหน้านั้นน่าจะยังมีการพัฒนาในหลายระดับราคาทั้งกลาง ล่าง และบน แต่โดยภาพรวมแล้ว ผู้บริโภคจะซื้อทาวน์เฮาส์มากขึ้น และคอนโดฯในย่านรถไฟฟ้า ขณะเดียวกันในส่วนที่อยู่อาศัยราคาสูงจะขายช้าลง และการตัดสินใจซื้อบ้านนั้นจะใช้เวลายาวขึ้น การใช้เงินลงทุนต้องคุ้มค่า
นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัทลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปีหน้าการแข่งขันของตลาดอสังหาฯจะไม่แตกต่างจากปีนี้ แต่จะมีการแยกตลาดอย่างชัดเจนว่า ใครจะยืนอยู่ตรงไหนอย่างไร หากผู้ประกอบการรายใดไม่มีการวางตำแหน่งที่ชัดเจนก็จะเสียเปรียบ เพราะการมีจุดยืนที่ชัดเจนลูกค้าก็จะเลือก นอกจากนี้การบริหารต้นทุน กระแสเงินสดจะต้องมีประสิทธิภาพให้มากขึ้นด้วย
"ผู้ประกอบการที่อยู่รอดในปัจจุบันจะต้องมีจุดยืนของตัวเองที่ชัดเจน ความเป็นมืออาชีพ มีการบริหารจัดการที่ดี จึงจะอยู่รอดได้ ในปีหน้าคนที่ยังยืนอยู่ได้ก็เหมือนเตะบอลเข้ารอบ 2 ซึ่งต้องไปแข่งขันกันต่อ" นายไชยยันต์กล่าว
ส่วนนางชาลอต โทณวณิก ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการใหญ่อาวุโส ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ความต้องการที่อยู่อาศัยเชื่อว่าปีนี้จะคงอยู่ที่ระดับ 6-7 หมื่นยูนิตต่อปี หรือโตประมาณ 16% ส่วนปีหน้า คาดว่าอสังหาฯจะมีอัตราการเติบโตเพียง 10% เท่านั้น โดยในปีหน้านั้นธนาคารจะเน้นจับมือพันธมิตรในการปล่อยกู้ที่อยู่อาศัยให้มากขึ้นไม่รอลูกค้าวอล์กอินเข้ามา อย่างไรก็ตามคาดว่าสถานการณ์โดยรวมของอสังหาริมทรัพย์ในปีหน้านั้นจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นทำให้ลูกค้า ซื้อบ้านน้อยลง ดังนั้น ผู้ประกอบการจะต้องมีการออกแคมเปญส่งเสริมการขายที่ค่อนข้างแรงมาแข่งขัน เพื่อจูงใจให้ผู้บริโภครีบตัดสินใจซื้อบ้านในทันที
"เค้กสินเชื่อที่อยู่อาศัยมีเท่าเดิม เพราะความต้องการไม่ได้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 6-7 หมื่นยูนิตต่อปี ขณะที่ปัจจัยที่จะทำให้ไปถึงรึเปล่านั้น มันมีปัจจัยทั้งลบแลบวก รออยู่ ดังนั้น ในส่วนของแบงก์ก็ต้องจับมือ กับพันธมิตรอย่างลลิลหรือผู้ประกอบการรายอื่นในการชิงส่วนแบ่งสินเชื่อ" นางชาลอตกล่าว
|
|
|
|
|