ธอส. ดิ้นหาเงินทุนปล่อยกู้สินเชื่อบ้าน คลังจับออมสินปล่อยสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ สรุปรายละเอียดวงเงินสัปดาห์หน้า "ขรรค์" แย้มต้องการเงินทุนอายุ 3 ปี จากออมสินปีละ 30,000 ล้านบาท ขณะที่ออมสินฟันธงคงเป็นไปได้ยาก เหตุเป็นช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น ระดมเงินฝากลำบาก และหวั่นผลกระทบความสามารถในการทำกำไร ด้านธอส.เล็งปรับขึ้น ดอกเบี้ยอีกระลอก
นายไชยยศ สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะกำกับดูแลธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารออมสิน เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมเรื่อง การจัดการเงินทุนเพื่อปล่อยกู้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของ ธอส. ว่า ที่ประชุมมีข้อสรุปร่วมกันที่ต้องการให้ธนาคาร ออมสินจัดหาเงินทุนระยะยาวให้กับธอส. เนื่องจากธนาคารออมสินมีจุดเด่นและความถนัดในเรื่องจากการระดมเงินฝาก ขณะที่เงินฝากของธอส. ส่วนใหญ่จะเป็นเงินฝากระยะสั้น ซึ่งไม่สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจหลักในการปล่อยสินเชื่อ ที่อยู่อาศัยระยะยาว
สำหรับแผนระยะยาวนั้น ธอส. จะต้องบริหารจัดการแหล่งที่มา และการใช้ไปของเงินทุนให้สอด คล้องกัน ซึ่งทางเลือกหนึ่งก็คือ การ นำนวัตกรรมทางการเงินเข้ามาช่วย เช่น การแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ (Securitization) ซึ่งจากการหารือเบื้องต้น ธอส.จะมีการทำซีเคียวริไทเซชัน โดยใช้สินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารเป็นหลักทรัพย์ จำนวน 20,000 ล้านบาท หรือประมาณ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นสกุลเงินดอลลาร์จำหน่ายในต่างประเทศในช่วงกลางปีหน้า
นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธอส. กล่าวว่า ปัจจุบันวงเงินการปล่อยสินเชื่อของธนาคารอยู่ในระดับสูง โดยในเดือน กันยายน มียอดสินเชื่อถึง 13,000 ล้านบาท และเดือนสิงหาคม มียอด สินเชื่อ 13,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วง 3 เดือนหลังของปีคาดว่าวงเงินสินเชื่อก็จะอยู่ในระดับหมื่นล้านบาท
"ปัจจุบันธนาคารมีปัญหาเรื่อง เงินกู้และเงินฝากที่ไม่สอดคล้องกัน เนื่องจากเป็นช่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ทำให้ผู้ฝากเงินส่วนใหญ่ไม่ฝากเงินออมทรัพย์ระยะยาว เพราะหวังว่าอัตราดอกเบี้ยจะขยับขึ้นอีก ขณะที่เงินกู้ส่วนใหญ่จะเป็นสินเชื่อคงที่ระยะ 3 ปี ดังนั้น ธนาคารจึงต้อง การเงินทุนที่มีอายุ 3 ปี เพื่อนำมาใช้ปล่อยกู้ในส่วนดังกล่าว"
อย่างไรก็ตาม การหารือกันใน ครั้งนี้ ยังไม่ได้ลงรายละเอียดวงเงิน และส่วนต่างที่ธอส.จะต้องจ่ายให้กับธนาคารออมสิน โดยรมช.คลังให้กลับไปสรุปในรายละเอียดเพื่อนำกลับมาหารือกันอีกครั้งภายในสัปดาห์หน้า แต่เบื้องต้นธอส.มีแผนอยู่ในใจว่า ต้องการวงเงินจากออมสินปีละ 30,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ จะมีการทำซีเคียว-ริไทเซชัน ซึ่งนอกจากวงเงิน 20,000 ล้านบาท หรือ 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่จะออกเป็นสกุลเงินดอลลาร์ขายในต่างประเทศแล้ว จะมี การทำซีเคียวริไทเซชันวงเงินอีกประมาณ 8,000-10,000 ล้านบาท จำหน่ายในประเทศด้วย โดยขณะนี้ อยู่ระหว่างการหาที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งธนาคารกำลังเร่งเรื่องการบริหารจัดการหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) เพื่อเคลียร์บัญชีของธนาคารก่อนที่จะให้บริษัทจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้ มาทำเรตติ้ง ตราสารที่จะนำออกโรดโชว์ที่ฮ่องกง ในเดือนมกราคม 2549 นี้
ด้านนายวรวิทย์ ชัยลิปมนตรี รองผู้อำนวยการ ธนาคารออมสิน กล่าวว่า ธนาคารมีเงินฝากระยะสั้น อายุต่ำกว่า 3 ปีประมาณ 70% ของเงินฝากทั้งหมด แต่สภาพคล่องของ ธนาคารมีอยู่ประมาณ 50,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่ไม่สูงมากนัก เมื่อ เทียบกับสินทรัพย์ที่มีอยู่ประมาณ 600,000 ล้านบาท ดังนั้น การดึง สภาพคล่องที่มีอยู่ไปให้ ธอส.ใช้สำหรับปล่อยสินเชื่อโดยตรง อาจส่งผลกระทบต่อธนาคารได้ เพราะออมสินเป็นรัฐวิสาหกิจที่ต้องถูกประเมินผลการดำเนินงาน หากมีการปล่อยสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำให้ ธอส.ก็จะทำให้ความสามารถในการทำกำไรน้อยลง ซึ่งทำให้ผลการประเมินออกมาไม่ดีได้
อย่างไรก็ตาม ออมสินคงจะเข้า ไปช่วยเหลือ เนื่องจากเป็นนโยบายของรัฐบาล แต่จะต้องมีการหารือในรายละเอียดอีกมาก โดยเฉพาะใน เรื่องของอัตราดอกเบี้ยและรูปแบบของการหาแหล่งเงิน รวมถึงเงื่อนไข ต่างๆ หากธอส. รับได้ ธนาคารออมสิน ก็พร้อมจะระดมทุนให้ แต่วงเงินจำนวน 30,000 ล้านบาท นั้น คงเป็นไปได้ยาก เพราะขณะนี้เป็นช่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น และในตลาดมีระดับการแข่งขันในเรื่องอัตราผลตอบแทนระดมเงินฝาก ค่อนข้างสูง
นายขรรค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ธอส.อยู่ระหว่างพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารขึ้นอีกรอบ หลังจากได้ปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ล่าสุดเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2548 ที่ผ่านมา อยู่ที่ 3.5% 4.5% และ 5.5% สำหรับอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ระยะ 3 ปี 4 ปี และ 5 ปี ตามลำดับ ซึ่งถือเป็นการปรับครั้งที่ 2 ในรอบปีนี้
โดยการที่ต้องปรับดอกเบี้ย เพราะต้นทุนดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ ในระดับสูง โดยต้นทุนเงินกู้อายุ 6 เดือนของธนาคารอยู่ที่ 3.5% ทำให้ ส่วนต่างดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1.5% จากที่เคยอยู่ในระดับ 2% ก่อนหน้านี้
|