Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน7 ตุลาคม 2548
PSผุดคอนโดฯ5แสน หวังตีตลาดบ้านเอื้อฯ             
 


   
www resources

โฮมเพจ พฤกษา เรียลเอสเตท

   
search resources

พฤกษา เรียลเอสเตท, บมจ.
ทองมา วิจิตรพงศ์พันธ์
Real Estate




"พฤกษา" เล็งเปิดคอนโดฯ ราคา 4-5 แสน ย่านชุมชน 2-3 แห่งในปีหน้า หวังดูดกลุ่มลูกค้าบ้านเอื้ออาทร ชูจุดแข็งนำระบบก่อสร้างแบบพรีแฟบมาใช้สร้างตึกเสร็จภายใน 6 เดือน ฟุ้งปี 49 โตสวนกระแสตั้งเป้ารายได้รวม 10,000 ล้านบาท พร้อมทุ่มงบ 12 ล้านจ้างบริษัทไอบีเอ็มพัฒนาการบริหารงานเสริมประสิทธิภาพ ลดต้นทุนในภาวะสินค้าแพง คาดอสังหาฯปี 49 ไม่ต่างจากปีนี้ที่ผู้บริโภคซื้อบ้านได้ถูกลง

นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน) หรือ PS เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนจะพัฒนาโครงการคอนโด- มิเนียมระดับราคา 4-5 แสนบาท โดยขณะนี้ บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาซื้อที่ดินในย่านชุมชน ขนาด 5-10 ไร่ จำนวน 2-3 แปลง เพื่อพัฒนาคอนโดฯ ราคา 4-5 แสนบาท ขนาดยูนิตไม่ต่ำกว่า 30 ตารางเมตร โดยเน้นกลุ่มลูกค้าที่พลาดหวังจากโครงการบ้านเอื้ออาทร ซึ่งมีอยู่จำนวนมาก โดยในการก่อสร้างโครงการบริษัท จะนำระบบพรีแฟบเข้ามาใช้เพื่อให้การดำเนินงานรวดเร็ว โดยคาดว่าจะสามารถสร้างอาคารเสร็จภายใน 6 เดือน ซึ่งจะทำให้ลดต้นทุนได้อย่างมาก

สำหรับในปี 48 นี้ บริษัทคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตของรายได้รวมกว่า 50% จากปี 2547 ที่มีรายได้รวม 4,871 ล้านบาท ส่วนรายได้ในไตรมาส 3 นั้นยังไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่มีผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ คือมีอัตราการเติบโตเกือบ 20% จากไตรมาส 2 ที่มีรายได้รวม 1,695 ล้านบาท และตั้งเป้าว่าในปี 2549 จะมีรายได้รวม 10,000 ล้านบาท ส่วน แผนในการพัฒนาโครงการในปีนี้บริษัทได้เปิดครบทั้ง 12 โครงการ มูลค่า 10,000 ล้านบาท ตามแผนการดำเนินงาน ซึ่งโครงการใหม่จะเปิดในปี 2549 โดยที่ดินที่รอการพัฒนาปัจจุบันมีครอบคลุมการดำเนินงานของปีหน้าแล้ว และคาดว่าจะต้องซื้อเพิ่มอีกประมาณ 2-3 แปลง โดยเน้นที่ทำเลสุวิทวงศ์ และสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งที่อยู่ระหว่างเจรจาซื้อที่ดินขนาด 100 ไร่ ราคาไร่ละ 1 ล้านบาท คาดว่าจะได้ข้อสรุปได้เร็วๆ นี้

ปัจจุบันบริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินงานจำนวน 30 โครงการ ส่วนในปีหน้าตั้งเป้าว่าจะมีโครงการบริหารทั้งสิ้น 35 โครงการ โดยเน้นที่ทาวน์เฮาส์มีสัดส่วน 55% ของสินค้าทั้งหมด และบริษัทมีมาร์เกตแชร์ 43% ของทั้งตลาด ปัจจุบันบริษัทมีแบ็กล็อกจำนวน 5,020 ล้านบาท ที่จะรับรู้รายได้ ในไตรมาส 4 และไตรมาส 1

ทั้งนี้ จากการที่บริษัทมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับภาวะราคาสินค้าที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทต้องนำระบบการบริหารจัดการภายในองค์กร รวมถึงการดำเนินของบริษัททุกฝ่าย เพื่อให้รองรับการขยายตัวของธุรกิจและเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด ล่าสุดบริษัทได้ว่าจ้างบริษัทไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด เพื่อดำเนินโครงการ "Business Process Improvement and Workforce Management" ด้วยงบประมาณ 12.75 ล้านบาท ในการพัฒนาระบบงานหลักภายในบริษัท

สำหรับขอบเขตการดำเนินโครงการดังกล่าว ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ 1.การวิเคราะห์โครงสร้างการ บริหารงานของบริษัทเพื่อปรับปรุงและพัฒนา อาทิ การบริหารจัดการด้านการก่อสร้างทั้งในด้านเวลา, วัสดุ, ผู้รับเหมา, ลูกค้า, บัญชีการเงินและงบประมาณ ส่วนที่ 2 เน้นในเรื่องของการบริหารด้านงานบุคคล ตั้งแต่กระบวนการสรรหา, การพัฒนาบุคลากรและ วางแผนอัตรากำลังคน โดยใช้ระยะเวลาวางระบบประมาณ 4-5 เดือน และหลังจากนั้นจะทราบผลการ ดำเนินโครงการดังกล่าวว่าจะสามารถลดค่าใช้จ่ายใน การดำเนินงานลงมากน้อยเพียงใดในอีก 6 เดือนถึง 1 ปี

"เราไม่ได้คาดหวังว่าโครงการดังกล่าว จะช่วย ลดต้นทุนต่อการขายไปมากน้อยแค่ไหน แค่สามารถ ลดได้ 1-2% ก็ถือว่าเยอะแล้ว ถ้าเรามีรายได้หมื่นล้าน เราลดได้ 1% ก็ไม่ใช่น้อย ซึ่งในช่วงครึ่งปีและเรามีค่าใช้จ่ายอยู่ประมาณ 13% ของรายได้ครึ่งปีที่ 3,000 กว่าล้านบาท" นายทองมากล่าว

นายทองมากล่าวอีกว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ ถือว่าได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบ ทำให้ผู้บริโภคสามารถซื้อบ้านได้ในราคาถูกลง ในขณะที่ผู้ประกอบการมีต้นทุนที่สูงขึ้น ดังนั้นหากผู้ประกอบการสามารถบริหารจัดการเพื่อไม่ให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น คงราคาบ้านเอาไว้ได้ ก็จะทำให้สามารถคงอัตรากำไรเอาไว้ได้เช่นกัน ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีกำไรสุทธิ 17% แม้ว่าผู้บริโภคจะมีความสามารถในการซื้อลดลง ภาวะอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น แต่สำหรับกลุ่มลูกค้าของบริษัทแล้วการมีที่อยู่อาศัยถือว่าเป็นความ จำเป็น เพราะไม่ว่าจะซื้อหรือเช่าก็มีค่าใช้จ่ายที่ใกล้เคียง กัน เพียงซึ่งหากซื้อก็จะเป็นของตัวเอง แต่หากไม่ซื้อ เช่าก็ต้องจ่ายค่าเช่ารายเดือน ซึ่งทำให้ลูกค้าตัดสินใจ ซื้อบ้านของบริษัทได้ง่ายขึ้น ปัจจุบันราคาบ้านเฉลี่ย 1.2 ล้านบาท   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us