Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤศจิกายน 2545








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤศจิกายน 2545
ตลาดหุ้นกู้คึกคักช่วงปลายปี             
โดย ภัชราพร ช้างแก้ว
 





ความเคลื่อนไหวของตลาดตราสารหนี้ไทยในปีนี้ มีความโดดเด่นน่าสนใจบางประการที่ควรกล่าวถึงโดยเฉพาะ ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ที่ได้รับแรงกระตุ้นจากภาครัฐ ด้วยการออกพันธบัตรออมทรัพย์ช่วยชาติมูลค่า 305,000 ล้านบาท บวกกับการออกหุ้นกู้ของบริษัทเทเลคอมเอเซีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท และยังจะมีหุ้นกู้เอกชนรายอื่นๆ ตามมาอีกหลายราย คิดเป็นเม็ดเงินกว่า 40,000 ล้านบาททีเดียว

เทียบกับในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2545 มีการออก หุ้นกู้ภาคเอกชนคิดเป็นมูลค่าไม่น้อยกว่า 30,000 ล้านบาท แล้ว และเมื่อพิจารณาปริมาณการซื้อขายในตลาดตราสารหนี้ไทย ก็ถือว่าคึกคักอย่างมาก มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในครึ่งปีหลังอยู่ระหว่าง 8,000-10,000 ล้านบาท (ดูตารางมูลค่าซื้อขายในตลาดตราสารหนี้ไทย)

ในช่วงต้นปีก่อนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะออกพันธบัตรออมทรัพย์ช่วยชาติ มีข่าวเรื่องพันธบัตรฯ ออกมาเป็นระยะๆ ส่งผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดตราสารหนี้เกิดความผันผวนอยู่พักหนึ่ง นักวิเคราะห์บางท่านคาดว่าพันธบัตรฯ จะดูดซับสภาพคล่องออกจากระบบ ไปพอสมควร แต่เมื่อเอาเข้าจริงๆ แล้ว สภาพคล่องในระบบ ก็ยังมีเหลืออยู่เป็นจำนวนมาก สะท้อนว่ากลไกการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ยังทำงานไม่เป็นปกติ

วิสาหกิจหลายแห่งใช้โอกาสนี้ออกหุ้นกู้ขายประชาชนนักลงทุนทั่วไป นำเงินที่ระดมได้มาชำระคืนหนี้สถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศ บางรายก็ระดมทุนเพื่อนำไปใช้ลงทุนตามโครงการที่วางไว้ (ดูตารางการเสนอ ขายหุ้นกู้ภาคเอกชนในเดือน ต.ค. 2545) การระดมทุนจากประชาชนโดยตรงไม่ต้องผ่านสถาบันการเงินทำให้ได้ต้นทุนที่ดี ขณะที่แบงก์สูญเสียโอกาสที่จะปล่อยสินเชื่อได้

พันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ภาคเอกชนได้รับความสนใจจากนักลงทุนมาก ในภาวะที่การลงทุนด้านอื่นๆ เงียบเหงาซบเซา นักลงทุนให้ความสนใจจองซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ช่วยชาติกันเป็นจำนวนมาก สะท้อนให้เห็นว่าเม็ดเงินลงทุนจะเคลื่อนไหวไปหาแหล่งที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ซึ่งในกรณีนี้พันธบัตรฯ ให้ผลตอบแทนในอัตราถึง 6.1% ต่อปี เทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ที่ 1.25% - 1.75% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1.75% - 2.50% ต่อปี

เจ้าหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทยบอกว่า นักลงทุนได้ชำระเงินพันธบัตรออมทรัพย์ช่วยชาติแล้ว ถึง 90% คิดเป็นเงิน 274,500 ล้านบาทในช่วงต้นเดือน ต.ค. และคาดว่าจะมีการชำระเต็มจำนวนเมื่อครบกำหนดชำระในกลางเดือน ต.ค. อย่างไรก็ดียังมีนักลงทุนที่ขึ้นทะเบียนรอซื้อพันธบัตรอยู่อีกประมาณ 34,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 11.14% ของมูลค่าพันธบัตรทั้งหมดที่ออก ตัวเลขนี้บ่งชี้ชัดว่าจะมีการชำระเงินค่าพันธบัตรฯ ครบแน่นอน และสะท้อนด้วยว่า สภาพคล่องในระบบยังมีอยู่อย่างเหลือเฟือ

Feature ที่ดี ไม่ได้หมายความว่าปลอดภัย

ในตลาดพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ภาคเอกชนที่ออกกันในปีนี้ สิ่งที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้คือ feature หรือ เงื่อนไขตราสารที่ดีอย่างมากๆ ซึ่งสะท้อนว่า ผู้ออกตราสารพยายามทุกทางที่จะจูงใจนักลงทุนให้ซื้อให้ได้ ซึ่งเท่าที่สอบถามพูดคุยกับนักวิเคราะห์ ล้วนบอกว่าไม่เคยเห็นเงื่อนไขในตราสารใดจะดีสุดๆ แบบที่มีในตราสารที่ออกๆ กันมาในปีนี้เลย

อย่างกรณีของพันธบัตรออมทรัพย์ช่วยชาติและหุ้นกู้ของ TA ก็มีอัตราดอกเบี้ยตายตัว (fixed rate) และมีตารางการชำระคืนที่แน่นอนหรือมีการทยอยชำระคืนเงินต้น (amortizing bond) พร้อมจ่ายดอกเบี้ยทุกไตรมาสในกรณีของ TA เป็นต้น เรียกว่าจูงใจจนนักลงทุนไม่ซื้อไม่ได้

ถือว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักที่ดีมานด์ และซัปพลายสอดคล้องกันตรงตัวขนาดนี้ ผู้ซื้อก็อยากจะซื้อและผู้ขายก็อยากจะขาย

แน่นอนในยามนี้ทุกคนคิดถึงปัจจัยความเสี่ยงน้อยมาก โดยเฉพาะในยามที่เศรษฐกิจโลกไม่มีวี่แววว่าข่าวใดๆ จะทำให้เกิดบรรยากาศการลงทุนที่สดใสขึ้นมาได้ อัตราดอกเบี้ยก็ยากที่จะโน้มตัวขึ้น และมีผู้ทำนายด้วยว่าต้องรอไปถึงปลายปี 2546 หรือต้นปี 2547 ด้วยซ้ำ จึงจะมีโอกาสเห็นดอกเบี้ยผงกหัวขึ้นได้

อย่างไรก็ดี ยังมีความเสี่ยงอีกข้อหนึ่งที่นักลงทุนพึงคำนึงถึงด้วยคือการดำเนินงานของบริษัท และการจัดโครงสร้างทางการเงินที่ซับซ้อนจนเกินกว่าจะทำความเข้าใจ ได้อย่างง่ายๆ ทั้งนี้มีบริษัทหลายแห่งที่ออกหุ้นกู้ในช่วงเศรษฐกิจเฟื่องฟู และต้องเจ็บตัวเมื่อประสบภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ ไม่สามารถชำระหนี้คืนเจ้าหนี้ประเภทต่างๆ ได้

ความคึกคักของการออกหุ้นกู้ภาคเอกชนและจำหน่ายให้ประชาชนทั่วไปได้ในปีนี้ ทำให้นักลงทุนคุ้นชินกับการลงทุนในหุ้นกู้กันมากขึ้น เห็นได้จากการถอนเงินออมออกจากระบบธนาคารพาณิชย์ไปลงทุนในหุ้นกู้มากขึ้น คาดว่าตลาดหุ้นกู้จะขยายตัวต่อเนื่องไปอีกตามภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำอย่างปัจจุบัน

ตลาด IPO หุ้นทุนหงอย

ด้านตลาดการออกหุ้นใหม่เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงปลายปีนี้ เห็นทิศทางชัดเจนว่าซบเซาลงอย่างมาก โดยหุ้นที่เจอแจ็กพอตจากสถานการณ์ความ อึมครึมของแนวโน้มภาวะสงครามอ่าวเปอร์เซียรอบสองคือ หุ้นธนาคารไทยธนาคาร ที่เข้าจดทะเบียนครั้งที่สองในตลาดหลักทรัพย์ แต่ไม่สามารถขายหมด และเมื่อเข้าเทรดแล้ว ดัชนีหุ้นทรุดต่ำส่งผลราคาหุ้นต่ำกว่าราคาอันเดอร์ไรต์ประมาณเกือบ 3%

สภาพที่เกิดขึ้นกับหุ้นไทยธนาคารเป็นเหตุให้หุ้นรัฐวิสาหกิจอีกหลายตัว ต้องเลื่อนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไปเป็นปีหน้า และยังไม่รู้ว่าจะมีกำหนดแน่นอนอย่างไร เพราะต้องรอดูสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจโลก

ผู้จัดการกองทุนที่ลงทุนในตลาดแถบเอเชีย-แปซิฟิก ก็ออกมาบอกว่าความต้องการหุ้น IPO (Initial Public Offering) ขณะนี้ต่ำมาก ผู้ออกต้องตั้งราคาที่ดึงดูดใจ จึงจะสามารถกระตุ้นความต้องการซื้อได้

ทอมสัน ไฟแนนเชียล ซึ่งเป็นบริษัทที่สำรวจ ข้อมูลตลาดทุนทั่วโลกรายงานผลการสำรวจการออกหุ้นใหม่เสนอขายประชาชนทั่วไป หรือ IPO ในช่วง 2 ปีนี้ (2544-2545) มีมูลค่า 48.1 พันล้านดอลลาร์ ต่ำกว่า IPO ในปี 2543 ปีเดียวที่มีมูลค่า 50.5 พันล้านดอลลาร์ แม้หลายตลาดในเอเชียจะมีการออกหุ้น IPO จำนวนมาก แต่สภาพความต้องการหุ้น IPO ก็ยังต่ำอยู่ และยังเป็นเช่นนี้ต่อไปจนถึงปีหน้า

อย่างไรก็ดี อันเดอร์ไรเตอร์ไทยบางราย เช่น บล.แอสเซท พลัส ยังยืนยันที่จะนำหุ้นใหม่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปีนี้ หลังจากที่ตัวบริษัทเองเข้าจดทะเบียนไปล่วงหน้าก่อนที่ นักลงทุนต่างประเทศจะเริ่มถอนการลงทุนออกจากตลาดหุ้นไทย ซึ่งก็ถือว่าเป็นการมองสวนทางตลาด และเป็นความพยายามที่จะรักษาบรรยากาศ การลงทุนในหลักทรัพย์ไว้ แม้จะเป็นการฝืนทิศทาง ใหญ่ก็ตาม

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us