Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤษภาคม 2543








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤษภาคม 2543
Ring Fencing             
 


   
search resources

Banking




การเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ประกันความเสี่ยงของ สาขาธนาคารต่างประเทศในไทย หรือ ที่เรียกว่า Ring Fencing ได้เพิ่มภาระต้นทุนของเงินทุน ให้กับสาขาของธนาคารต่างประเทศในไทยค่อนข้างมาก

เพราะธนาคารพาณิชย์ไทยผู้มีสภาพคล่องเงินบาทต่างพากันปรับเพิ่มความเสี่ยงให้กับสาขาธนาคารคู่ค้า ผ่านอัตราดอกเบี้ยให้กู้ยืม ที่สูงขึ้น ซึ่งกลายเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่างธนาคาร (interbank rates) ที่สาขาธนาคารต่างประเทศเผชิญปรับตัวขึ้นไปสูงถึงประมาณร้อยละ 3-5 ระหว่างเดือนมีนาคม (จากระดับปกติใน ช่วงนี้ ที่ไม่ควรจะเกินร้อยละ 3) พร้อมกับการปรับเพิ่มของอัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนพันธบัตร (Repurchase yields) โดยเฉพาะประเภท 1 วันจนขึ้น มาถึงร้อยละ 4.25 (จาก ที่ระดับมักจะต่ำกว่าร้อยละ 1) เมื่อสภาพคล่องในมือสาขาของธนาคารต่างประเทศขาดแคลน จนธนาคารแห่งประเทศไทยต้องเข้ามามีบทบาทในการเสริมสภาพคล่องให้สาขาของธนาคารต่างประเทศเหล่านั้น

การเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การประกันความเสี่ยงของธนาคารแม่ในต่างประเทศต่อสาขาของธนาคารในต่างประเทศ หรือ Ring Fencing นี้ ได้เกิดขึ้นมานานนับปีแล้ว โดยสำนักงานใหญ่ในต่างประเทศ เช่น ในอเมริกา เนเธอร์แลนด์ หรือ เยอรมนี ได้ออกข้อกำหนดว่าจะไม่รับผิดชอบความเสียหาย ที่อาจจะเกิดขึ้นจากการทำธุรกรรมต่างๆ ของสาขาในต่างประเทศ ที่ตั้งอยู่ในประเทศ ที่มีภาวะ ที่ควบคุมไม่ได้ เช่น ภาวะสงคราม การขอหยุดพักชำระหนี้ หรืออาจมีการประกาศควบคุมเงินทุนเคลื่อนย้าย ซึ่งประเทศต่างๆ ทั่วโลกจัดอยู่ในกลุ่ม ที่มีความเสี่ยงหมด ยกเว้นกลุ่มประเทศ G-7 และประเทศสิงคโปร์

ทั้งนี้ข้อความดังกล่าวจะถูกระบุอยู่ทั้งในสมุดบัญชีเงินฝาก ที่ให้กับลูกค้าทั่วไป รวมทั้งตั๋วสัญญาใช้เงิน ที่ใช้ทำธุรกรรมการกู้เงินระยะสั้นระหว่างธนาคาร (P/N) และในใบ S.W.I.F.T. ที่ใช้ยืนยันการทำธุรกรรมทางการเงิน เช่น การซื้อขายพันธบัตร และเงินตราต่างประเทศระหว่างธนาคารด้วย

ที่มาของความเดือดร้อน

เท่า ที่ผ่านมาสาขาของธนาคารต่างประเทศในไทย มักจะมีพฤติกรรม ที่แสวงหาแหล่ง ที่มาของเงินทุน ที่ถูกที่สุดเท่า ที่จะเป็นไปได้ ซึ่งท่ามกลางสถานการณ์ ที่กลไกอัตราดอกเบี้ยถูกบิดเบือนเช่นในปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยระยะสั้น ที่เสนอให้กู้ยืมระหว่างธนาคารจึงอยู่ในระดับ ที่ต่ำมากคือ ราวๆ ร้อยละ 1.0-2.0 สำหรับประเภทอายุชั่วข้ามคืนในตลาด interbank (ในช่วงสถานการณ์ ปกติ ตลาดเงินระหว่างธนาคารมักจะใช้เป็นแหล่งระบายสภาพคล่องจากเงินฝาก ที่ระดมได้จากประชาชน จึงทำให้อัตราดอกเบี้ย ที่บันทึกระหว่างธนาคารสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ที่ธนาคารให้กับประชาชน)

ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ ที่ธนาคารพาณิชย์ไทยให้กับประชาชนนั้น ขึ้นไปสูงถึงประมาณร้อยละ 2.50-3.0 ดังนั้น ธนาคารต่างประเทศจึงเลือก ที่จะรับเงินฝากให้น้อยที่สุด โดยกดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ให้อยู่ในระดับประมาณร้อยละ 1 หรือต่ำกว่า และหันไปกู้ยืมจากช่องทางต่างๆ ใน ตลาดเงินระยะสั้นแทน พร้อมทั้งเลือกถือพันธบัตรของไทยในปริมาณจำกัดหากอัตราดอกเบี้ยไม่ดึงดูดพอ ซึ่งพฤติกรรมต่างๆ เหล่านี้ ได้ย้อนกลับมา สร้างปัญหาให้กับธนาคารต่างประเทศในยาม ที่ขาดแคลนสภาพคล่องเงินบาทระยะสั้นปัจจุบัน เพราะไม่ว่าจะหันไปยังช่องทางของแหล่งเงินทุนใดก็จะเผชิญ กับข้อจำกัดไปเสียหมด ยกตัวอย่าง เช่น การกู้ยืมเงินบาทผ่านตลาด interbank และ swap จะได้รับอัตราดอกเบี้ย ที่สูงขึ้น การกู้ยืมในตลาดซื้อคืนพันธบัตรก็ทำได้จำกัด เพราะมีพันธบัตรในครอบครองจำนวนไม่มากนัก ทำให้ได้วงเงินกู้น้อยตามไปด้วย

ขณะที่การระดมเงินฝากด้วยการขึ้นดอกเบี้ยจะต้องอาศัยเวลากว่า ที่เงินจะทยอยไหลเข้ามา ซึ่งอาจจะไม่สามารถตอบสนองความต้องการใช้เงิน ณ ขณะนั้น ได้

ผลกระทบมาจาก การตอบสนองของธนาคารไทย

การที่เรื่องดังกล่าวเพิ่งกลายเป็นปัญหาไม่นานมานี้ ทั้งๆ ที่ข้อความปัญหาได้ปรากฏอยู่ในหลักฐานการทำธุรกรรมทางการเงินมานานแล้ว เนื่อง จากสาขาธนาคารต่างประเทศไม่ได้มีการชี้แจงอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง

เมื่อธนาคารไทยพบเห็นจึงสร้างพฤติกรรมโต้ตอบอย่างฉับพลัน ด้วยการงดทำธุรกรรมด้วย, ปรับเพิ่มความเสี่ยง (margin) เข้าไปในอัตราดอกเบี้ย ที่เสนอให้กู้ยืม ทำให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น หรือลดวงเงินการปล่อยกู้ลง

อย่างไรก็ดีเมื่อไม่นานมานี้ ประเด็นปัญหาดังกล่าวได้ผ่อนคลายความตึงเครียดลงในระดับหนึ่ง เนื่อง จากธนาคารแม่ในต่างประเทศส่วนใหญ่ตกลงให้สามารถถอดข้อความดังกล่าว ที่บันทึกอยู่ในหลักฐานในการทำธุรกรรม ต่างๆ ออก โดยประเด็น ที่ยังติดค้าง และไม่สามารถแก้ไขได้คือ กรณีของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ธนาคารสัญชาติ สหรัฐฯ จะได้รับความคุ้มครองทางด้านกฎหมายให้ไม่ต้องรับผิดชอบความเสียหายของสาขาในประเทศอื่นๆ

ผลกระทบต่อตลาดเงิน และอัตราดอกเบี้ย

ถึงแม้ว่าธนาคารสหรัฐฯ จะครอง สัดส่วนการตลาดของทั้งเงินฝาก เงิน ให้สินเชื่อ และสินทรัพย์ถึงเกือบ 1 ใน 4 ของธนาคารต่างประเทศทั้งหมด แต่ความเสี่ยง ที่ยังคงอยู่อาจกลายเป็นข้อจำกัดในการทำธุรกรรมต่อจากนี้ไปได้ โดยเฉพาะธุรกรรมระหว่างธนาคาร

อย่างไรก็ดีหากพิจารณาความสามารถบางประการที่ธนาคารต่างประเทศเหล่านี้ยังสามารถเกื้อหนุนธนาคารไทยได้ โดยเฉพาะความสามารถ หลักในการเป็นแหล่ง ที่มาของสภาพคล่องดอลลาร์ เชื่อว่าการตอบสนอง ที่รุนแรงของธนาคารไทย เช่น การงดการทำธุรกรรมด้วย หรือ เพิ่มค่าความเสี่ยงเข้าไปในอัตราดอกเบี้ยให้กู้ยืม ที่สูงขึ้น น่าจะผ่อนคลายลง ซึ่งจะทำให้สภาวะสภาพคล่องค่อยๆ กลับเข้าสู่ระดับปกติ

ทั้งนี้ธนาคารต่างประเทศเองก็ได้พยายามเตรียมพร้อมรองรับปัญหาการขาดแคลนสภาพคล่องดังกล่าวด้วยเช่นกัน โดยธนาคารซิตี้แบงก์ ซึ่งเป็นธนาคาร ที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดในบรรดาธนาคารจากสหรัฐฯ ในไทย, มีขนาดสินทรัพย์ และสินเชื่อมากเป็นอันดับ 2 ของธนาคารต่างประเทศใน ไทย และมีขนาดเงินฝากมากเป็นอันดับแรก เมื่อเทียบกับธนาคารต่างประเทศอื่นๆ ได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ขึ้นตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ซึ่งส่วนหนึ่งคาดว่าคงจะต้องเพิ่มฐานเงินฝาก และแหล่งสภาพคล่องเงินบาทให้มากขึ้น

ดังนั้น คาดว่า Ring fencing คง จะไม่ได้สร้างปัญหาให้เกิดความตึงตัวของสภาพคล่องในระบบเช่น ที่ผ่านมาเพราะนอกจากธนาคารต่างประเทศเองจะพยายามเตรียมความพร้อมด้านสภาพคล่องเงินบาทแล้ว ท่าทีของธนาคารไทยก็เริ่มผ่อนคลายลง

ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ยังคงทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเหลือแหล่งสุดท้าย เพื่อลดความผันผวนของตลาดเงินระยะสั้น แต่ทั้งนี้เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นบทเรียนอันดีต่อธนาคารต่างประเทศว่า การสร้างความโปร่งใส และความเข้าใจอันดีกับธนาคารไทยเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อนำมา ซึ่งการตอบสนองในลักษณะ ที่ประนีประนอมมากขึ้น ตลอดจนการทำธุรกรรม ที่เกื้อกูลกันมากขึ้นในอนาคต

ข้อมูลจาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us