Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ ตุลาคม 2548








 
นิตยสารผู้จัดการ ตุลาคม 2548
Zapatero : นักการเมืองธรรมดา             
โดย ธนิต แก้วสม
 


   
search resources

Political and Government




หนึ่งสัปดาห์ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปประจำปี 2004 ทุกโพลมีผลสรุปออกมาในทำนองเดียวกันว่า พรรครัฐบาลนำโดยนายมาเรียอะโน่ ราคอย ผู้สมัครจากพรรครัฐบาลในขณะนั้นจะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งอย่างแน่นอน (14 มีนาคม 2004) แต่ผลการเลือกตั้งที่ออกมาจริงๆ ไม่ได้เป็นอย่างนั้น ผู้ชนะการเลือกตั้งกลับเป็นนาย Zapatero ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรค PSOE (พรรคสังคมนิยม-แรงงานสเปน) แน่นอนว่าก่อนหน้านั้น 3-4 วันจะต้องเกิดอะไรขึ้นมากมายในประเทศสเปน มากพอที่จะทำให้ผลการเลือกตั้งพลิกไปมากพอที่จะให้นาย ซาปาเตโร่เป็นฝ่ายชนะได้

ในวันที่ 11 มีนาคม 2004 เกิดเหตุระเบิดรถไฟขนาดใหญ่พร้อมกัน 3 จุดในกรุงมาดริด มีผู้เสียชีวิตเกือบ 200 คน เหตุการณ์ในครั้งนั้นก่อให้เกิดคำถามมากมาย อาทิ ใคร พวกไหน เป็นคนวางระเบิด ทำทำไม ทำไมต้องช่วงก่อนวันเลือกตั้ง ทำไมต้องที่มาดริด... คำถามอันแรกที่ถามว่า ใคร? เป็นจุดที่สนใจกันมากที่สุด เพราะเชื่อกันว่ามันมีผลให้การเลือกตั้งพลิกไปอย่างนั้น เพราะมันไปเกี่ยวข้องกับนโยบายต่างประเทศ (สงครามอิรัก) นโยบายความมั่นคง (กลุ่มผู้ก่อการร้าย ETA) ของรัฐบาลที่อยู่ในความสนใจเป็นอย่างมากของประชาชนในขณะนั้น

เรื่องราวของเหตุระเบิดดังกล่าวถึงวันนี้ เป็นเวลาปีกว่าก็ยังสืบสวนกันไม่จบ เพราะกลุ่มที่ยังค้างคาใจอยู่คือพรรคฝ่ายค้าน อดีตรัฐบาลผู้แพ้การเลือกตั้ง ทั้งๆ ที่นาย Zapatero ประธานาธิบดีคนใหม่ อยากให้มันจบไปตั้งแต่วันที่ประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ

ย้อนไปก่อนหน้านั้น เมื่อมีการกำหนดตัวผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรค PSOE ว่าเป็นนาย Zapatero หลายคนก็มองว่าเป็นเพียงการทดลองสนาม คงไม่สามารถเอาชนะพรรครัฐบาลได้ เพราะนาย Zapatero เป็นมือใหม่ ลงสนามเป็นครั้งแรก ดูลูกทุ่งเกินไป (ตามแบบฉบับของพรรคฝ่ายซ้าย) ยังไม่พร้อมที่จะบริหารประเทศในยุคเศรษฐกิจเสรี และยุค European Union ประกอบกับผลงานรัฐบาลที่ผ่านมาภายใต้การนำของนายโฆเซ่ มาเรีย อาสนาร์ ได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องตัวเลขทางเศรษฐกิจ

แต่ก็นับว่าเป็นความโชคดีอย่างหนึ่งของนาย Zapatero ที่นายโฆเซ่ มาเรีย อาสนาร์ ประธานาธิบดีในตำแหน่งในขณะนั้น ไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง ถอนตัวจากการเมืองไปด้วยเหตุผลส่วนตัว แม้จะอยู่ในวัยเพียง 52 ปี แม้จะมีกระแสความนิยมที่สูงขึ้น แม้จะมีเสียงเรียกร้องให้ลงสมัครอีกสมัย... ปัจจุบันเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษาแห่งชาติ และเป็นอาจารย์พิเศษที่ George Town University USA

เพราะถ้านายโฆเซ่ มาเรีย อาสนาร์ ลงสมัคร ประวัติศาสตร์การเมืองสเปน ก็คงเปลี่ยนไปอีกแบบ เพราะความ "จัดจ้าน" ทางการเมืองของเขาประกอบกับลีลาการพูดและการกล่าวสุนทรพจน์ที่เหนือชั้น แต่อย่างไรก็ตามจะด้วยเหตุผลและสาเหตุใดก็ตาม Zapatero คือประธานาธิบดีของประเทศสเปน และดูเหมือนว่าเขาทำได้ดีทีเดียว ภาพของความเป็นผู้นำประเทศกับภาพของเขาเริ่มซ้อนทับกันสนิท แค่ช่วงเวลาปีกว่าๆ ก็ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง อย่างเช่น ในประเทศอิตาลีเพิ่งมีการทำภาพยนตร์ในชื่อว่า Viva Zapatero (Zapatero จงเจริญ) เพื่อเป็นการประท้วงและแสดงความไม่พอใจการบริหารงาน ของประธานาธิบดี Silvio Berlusconi (พรรคฝ่ายขวา) ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของการทุจริตคอร์รัปชั่น

Zapatero ชื่อนี้แปลเป็นไทยได้ว่า "ลูกช่างทำรองเท้า" (ความหมายเหมือนกับชื่อของ M.Schumacher แชมป์โลกฟอร์มูล่าวัน 7 สมัย) มีชื่อเต็มว่า Jose Luis Rodriguez Zapatero เกิดเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 1960 ที่เมือง Valladolid ทางภาคกลางของสเปน อายุ 45 ปี แต่งงานแล้วกับ Sonsoles Espinosa มีลูกสาวสองคน เขาจบการศึกษาด้านกฎหมายจาก Universidad de Leon หลังจบการศึกษาก็ได้เข้าเป็นอาจารย์สอนของคณะกฎหมายที่นั่นทันที ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรค PSOE ตั้งแต่อายุเพียง 18 ปี เพื่อนๆ ของเขาบอกว่า เขาคงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากสังคมนิยมด้วยลักษณะนิสัยของเขาและจากเรื่องราวในอดีตที่บรรพชนของเขาเคยต่อสู้กับพรรคฝ่ายขวาในช่วงสงครามกลางเมืองจนต้องสูญเสียชีวิตไป

เขาได้มีโอกาสเข้าฟังการชุมนุมหาเสียงของพรรค PSOE หลังจากการตายของนายพลฟรังโก้ (จบสิ้นยุคเผด็จการ) นำโดย Felipe Gonzalez เขาประทับใจในตัวของนักการเมืองคนนี้มาก และได้ยึดเอาเป็นแบบอย่างตลอดมา

ด้วยวัยเพียง 26 ปี เขาก็ได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ถือว่าเป็นผู้แทนที่หนุ่มที่สุดในขณะนั้น เขาเจริญก้าวหน้ามาตามลำดับในทางการเมือง เป็นกรรมการในกรรมาธิการชุดต่างๆ ที่ค่อนข้างมีผลงานโดดเด่นในสายตาของสื่อมวลชน จนกระทั่งในปี 2000 เป็นช่วงที่เกิดวิกฤติในพรรค PSOE เพราะพ่ายแพ้การเลือกตั้งอย่างยับเยิน เกิดภาวะการขาดผู้นำ Zapatero จึงได้รับเลือกให้เป็นผู้นำพรรคตั้งแต่นั้นมา สมัยนั้นเขาเริ่มทำหน้าที่ผู้นำฝ่ายค้าน มีผลงานตามสมควร และในปี 2004 เขาชนะการเลือกตั้งทั่วไปได้เป็นประธานาธิบดี

จากประวัติของเขาจะเห็นได้ว่า เขาเป็นนักเมืองธรรมดาๆ คนหนึ่ง แทบจะไม่มีอะไรน่าสนใจเลย มีอาชีพเป็นนักการเมือง เหมือนกับที่คนทั้งหลายเริ่มประกอบอาชีพกันเมื่ออายุ 26 ปี แล้วก็ไต่เต้ามาตามลำดับ จนก้าวมาสู่ตำแหน่งสูงสุดทางการเมือง เป็นประธานาธิบดีแบบเรียบๆ หนึ่งปีผ่านไปเขาก็ทำได้ดี เป็นที่ยอมรับ เป็นที่นิยม จนบางทีทำให้คิดไปว่าประเทศนี้ไม่มีปัญหาอะไรหรืออย่างไร หรือว่าทุกอย่างเป็นไปตามกลไกของมัน แต่ในความเป็นจริงแล้วทุกคนก็ทราบกันดีว่า ในยุคปัจจุบันทุกประเทศต้องเผชิญกับปัญหาหนักๆ คล้ายๆ กัน คือเรื่องราคาน้ำมัน เรื่องความผันผวนของค่าเงิน เรื่องภัยธรรมชาติ และสำหรับประเทศสเปนยังมีพิเศษคือ การก่อการร้ายแบ่งแยกดินแดน ปัญหารัฐบาลท้องถิ่น การลักลอบเข้าเมืองแบบผิดกฎหมาย และการเมืองในสหภาพยุโรป

แต่นาย Zapatero คนนี้เขาก็ทำได้ ทำได้แบบเรียบๆ เขาไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด เขาไม่ใช่คนที่รวยที่สุด และเขาก็ไม่ใช่คนที่ดีที่สุด แต่เขาเก่งพอที่จะเป็นนักการเมือง มีอยู่มีกินพอที่จะเป็นประธานาธิบดี เป็นคนดีพอที่จะเป็นผู้นำประเทศ และที่สำคัญ มี "ความเสียสละ" มากพอ ที่จะมาทำหน้าที่ตรงนี้ เพื่อให้ประชาชนทุกคนอยู่ดีกินดีมีชีวิตที่เป็นสุข และตัวเขาเองก็มีความสุขด้วย เพราะมันเป็นผลจากการที่เขาได้ทุ่มเทเวลา ความรู้ความสามารถทั้งหมดเพื่อสิ่งนี้ เพราะมันเป็นอาชีพของเขา อาชีพ "นักการเมือง"

เพราะสองสามบรรทัดสุดท้ายที่กล่าวมานี่แหละที่ทำให้ผู้คนให้เกียรติ ให้การยกย่อง และให้ความเคารพกับเขาทั้งต่อหน้าและลับหลัง...   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us