Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ ตุลาคม 2548








 
นิตยสารผู้จัดการ ตุลาคม 2548
Seeking The succesful models             
โดย ปัณฑพ ตั้งศรีวงศ์ น้ำค้าง ไชยพุฒ
 

   
related stories

Japan Post : แปรรูปเพื่อปฏิรูป
Delivering More Than Ever
องค์การไปรษณีย์นิวซีแลนด์
ไปรษณีย์จีนกับพรมแดนธุรกิจใหม่
Royal Mail
La poste ไปรษณีย์ฝรั่งเศส
Correos
ไปรษณีย์อเมริกา ทันสมัย ทันใจ
7-Eleven's Growth Business
Easy pay with CA Post
7-Eleven The Power of Network

   
www resources

โฮมเพจ ไปรษณีย์ไทย

   
search resources

ธีระพงศ์ สุทธินันท์
ไปรษณีย์ไทย, บจก.
Logistics & Supply Chain




ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับหน่วยงานที่ถูกปลูกฝังจิตสำนึกมากว่า 120 ปี ว่าเป็นบริการพื้นฐานของรัฐ ซึ่งจำเป็นต้องแปรรูปเป็นเอกชนที่ต้องแสวงหากำไรเพื่ออยู่รอด ท่ามกลางการแข่งขันที่ทวีความเข้มข้นมากขึ้น แต่ข้อได้เปรียบกลับมีแต่ลดลง

คนที่มีโอกาสได้เข้าไปใช้บริการ ณ ที่ทำการไปรษณีย์บางแห่ง ช่วง 1 ปีที่ผ่านมา อาจเริ่ม รู้สึกแปลกหูแปลกตากับบรรยากาศภายใน ตลอดจนถึงบริการที่ได้รับทั้งเรื่องการรับ-ส่งจดหมาย ไปรษณียบัตร ซื้อแสตมป์ จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ฯลฯ ที่เริ่มมีกลิ่นอายเข้ามาใกล้เคียงกับความเป็นเอกชน มากขึ้น

แต่ความแปลกหูแปลกตาดังกล่าว เมื่อมองลึกลงไปแล้วยังเป็นเพียงความเปลี่ยนแปลงทาง กายภาพ เพราะความรู้สึกของพนักงานไปรษณีย์ ที่ถูกปลูกฝังความรู้สึกมาตลอดว่าเป็นกิจการบริการสังคม การปรับเปลี่ยนสถานะจากพนักงานของรัฐมาเป็นพนักงานบริษัทเอกชนซึ่งต้องแสวงหากำไรสูงสุดจากบริการ คงยังต้องใช้เวลาอีกไม่น้อย

"ธุรกิจไปรษณีย์ไทยคงไม่รวย แต่ต้องเลี้ยงตัวเองให้ได้ เพราะไปรษณีย์ของไทยถือเป็นบริการพื้นฐานที่รัฐต้องให้บริการครอบคลุมและทั่วถึง" ธีระพงศ์ สุทธินนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่คนแรกของบริษัทไปรษณีย์ไทย แสดงวิสัยทัศน์ภายในงานแถลงข่าวครบ 2 ปีของการแปรรูปเป็นบริษัทจำกัด เมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

ธีระพงศ์เป็นอดีตผู้ว่าการการสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.) ที่ได้ตัดสินใจด้วยตนเองว่าจะย้ายมาอยู่ไปรษณีย์ไทย หลังการแปรรูป โดยให้เหตุผลว่าเติบโตมาจากกิจการไปรษณีย์ จึงมีความรัก และผูกพันกับองค์กรแห่งนี้

บริษัทไปรษณีย์ไทยกำลังเผชิญกับแรงท้าทายครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ 120 ปีของการก่อตั้งกิจการ โดยเฉพาะหลังจากถูกแปรรูปจากรัฐวิสาหกิจมาเป็นบริษัทจำกัด ซึ่งเป็น ขั้นตอนแรกก่อนการแปรรูปไปเป็นบริษัทเอกชนอย่างเต็มตัวในอนาคต

แม้ว่าในทางหนึ่งนั้น การแปรรูปได้เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับกิจการไปรษณีย์ทั่วโลก แต่สำหรับไปรษณีย์ไทยแล้ว การแยกตัวออกเป็นบริษัทต่างหาก ดูจะเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของการแปรรูปกิจการหลัก คือ กสท.ที่ได้แปรรูปไปเป็นบริษัท กสท.โทรคมนาคมมากกว่า โดยการผลักภาระทางบัญชีเดิมของ กสท.ที่ขาดทุนอยู่ คือกิจการไปรษณีย์ แยกออกไปตั้งเป็น อีกบริษัทหนึ่งต่างหากไม่เกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน

ขณะที่ความหวังที่ว่าจะทำให้บริษัทไปรษณีย์ไทยที่แยกตัวออกมากลายเป็นบริษัทเอกชน ที่มีความยิ่งใหญ่ อย่าง DHL ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากกิจการไปรษณีย์ของเยอรมนี หรือเป้าหมาย ในการแปรรูปกิจการไปรษณีย์ของญี่ปุ่นที่ถึงขั้นนายกรัฐมนตรีจุนอิชิโร โคอิซูมิ ต้องตัดสินใจ ยุบสภา เมื่อถูกคัดค้านนั้นกลับมีน้อยกว่ามาก

เนื้อหาในหนังสือ "จากรุ่งริ่ง สู่รุ่งโรจน์ ไปรษณีย์ไทย ยุคไอซีที" ซึ่งเขียนออกมาตามดำริของสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ในช่วงที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการ สื่อสาร (ไอซีที) และเป็นผู้ผลักดันให้แปรรูปกิจการไปรษณีย์เป็นบริษัทจำกัด ยังยอมรับเลยว่า ในความรู้สึกของคนในกระทรวงไอซีที และพนักงานของ กสท.เอง มองว่าบริษัทไปรษณีย์ไทย ที่ถูกแยกตัวออกมานั้น เป็น "กิจการที่มองไม่เห็นอนาคต"

แรงท้าทายประการแรก สำหรับไปรษณีย์ไทย คือเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น โดยเฉพาะอินเทอร์เน็ต ทำให้ความจำเป็นใน การสื่อสารของคนด้วยรูปแบบจดหมาย ซึ่งเป็นภารกิจหลักของกิจการไปรษณีย์มีน้อยลง แรงท้าทายประการที่ 2 คือการเปิดเสรีธุรกิจบริการ ตามพันธสัญญาที่ให้ไว้ในองค์การการค้าโลก ซึ่งเปิดโอกาสให้ธุรกิจขนส่งทั้งเอกสาร และพัสดุภัณฑ์จากต่างประเทศ สามารถเข้ามาทำธุรกิจในไทยได้อย่างเต็มรูปแบบ โดยไม่มีข้อจำกัด แม้ว่าก่อนหน้านี้บริษัท courier เหล่านี้ไม่ว่าจะเป็น DHL UPS FedEx TGN ฯลฯ ได้รุกเข้ามาในธุรกิจนี้ในประเทศไทยระยะหนึ่งแล้ว แต่ยังมีข้อจำกัดทางกฎหมาย ทำให้บริษัทเหล่านี้ ไม่สามารถทำธุรกิจบางอย่างได้ เช่นการส่งจดหมายส่วนบุคคล ไปรษณียบัตร หรือการขายแสตมป์ ฯลฯ

"แม้ไปรษณีย์ไทยจะเป็นบริษัทที่สามารถทำธุรกิจส่งจดหมาย ไปรษณียบัตร และสิ่งตีพิมพ์ เพียงรายเดียวก็ตาม แต่การเปิดเสรีทางการค้าด้านบริการที่จะเกิดขึ้นภาย ในอีกไม่ช้านี้ ทำให้ไปรษณีย์ไทยต้องดิ้นรนหา โมเดลในการทำธุรกิจใหม่ๆ เพื่อสู้กับบริษัทต่างชาติที่จะเข้ามาให้บริการส่งจดหมาย ไปรษณียบัตร และสิ่งตีพิมพ์ หรือแม้แต่ธุรกิจ อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งไม่เพียงแต่บริษัทเหล่านี้จะมีกำลังความสามารถในการลงทุนทรัพยากร บุคคล หรือ know-how ที่ดีกว่าเท่านั้น แต่ยังมีความสามารถในการทำการตลาดที่คล่อง ตัวกว่าไปรษณีย์ไทย" ออมสิน ชีวะพฤกษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส (ด้านการตลาดและพัฒนาธุรกิจ) บริษัท ไปรษณีย์ไทย บอกกับ "ผู้จัดการ"

แรงท้าทายประการที่ 3 คือเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ว่าจะนำบริษัทไปรษณีย์ไทย เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ปลายปี 2549 ทำให้ไปรษณีย์ไทยจำเป็นต้องเร่งหารูปแบบธุรกิจ (business model) ใหม่ ให้เหมาะสมกับองค์กรและสามารถสร้างรายได้ และกำไร จนจูงใจให้นักลงทุนกล้าเข้ามาซื้อหุ้น

แม้ว่าจุดเริ่มต้นของกิจการไปรษณีย์ไทย มิได้แตกต่างไปจากกิจการไปรษณีย์ในประเทศ อื่นๆ คือเป็นบริการของรัฐที่ให้ประชาชนสามารถติดต่อสื่อสารกันได้โดยใช้ต้นทุนที่ต่ำที่สุด แต่พัฒนาการของไปรษณีย์ไทยกลับแตกต่างไปจากกิจการไปรษณีย์ของหลายๆ ประเทศ

ในหลายประเทศ กิจการไปรษณีย์นอกจากจะรวมกิจกรรมการสื่อสาร ทั้งจดหมายและ พัสดุไปรษณีย์แล้วยังรวมถึงการขนส่งสินค้า พัสดุขนาดใหญ่ ที่สำคัญที่สุดยังเป็นแหล่งระดม เงินออมขนาดใหญ่ให้กับประเทศนั้นๆ ด้วย อย่างเช่นในญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ หรือแม้แต่สาธารณรัฐ ประชาชนจีน ธุรกรรมทางการเงินของไปรษณีย์ในประเทศเหล่านี้ถือเป็นธนาคารขนาดใหญ่ ที่มีสัดส่วนของบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ใหญ่ที่สุดของประเทศ

(รายละเอียดอ่านรูปแบบกิจการไปรษณีย์ทั่วโลกจากเครือข่าย global link)

แต่ในประเทศไทย พัฒนาการของกิจการไปรษณีย์ให้น้ำหนักไปที่ธุรกิจสื่อสารมากที่สุด ขณะที่กิจกรรมด้านการขนส่ง แม้มีอยู่บ้างแต่ไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก คนส่วนใหญ่จะรู้จักองค์การรับส่งสินค้า และพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงคมนาคม มากกว่า

ส่วนธุรกรรมทางการเงินนั้น ด้วยข้อจำกัดที่ไม่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการธนาคาร พาณิชย์ ทำให้ไปรษณีย์ไทยสามารถทำได้เพียงการรับ-ส่งธนาณัติ และเพิ่งจะขยายมาเป็นบริการรับชำระค่าสินค้า ค่าบริการ และค่าสาธารณูปโภคเมื่อไม่กี่ปีมานี้

เคยมีคนกล่าวติดตลกว่า หากจะให้ไปรษณีย์ไทยมีความยิ่งใหญ่เหมือนไปรษณีย์ใน ญี่ปุ่น หรือเยอรมนี อาจต้องมีการควบรวมกิจการรัฐวิสาหกิจ ถึง 3 แห่งเข้าด้วยกันคือไปรษณีย์ไทย ธนาคารออมสิน และ ร.ส.พ. แต่แนวคิดดังกล่าวมีความเป็นไปได้ไม่ถึง 0%

ด้วยแรงท้าทายหลายประการนี้ทำให้ความจำเป็นในการแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับไปรษณีย์ไทย จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจำเป็นและเร่งด่วน

หลังแปรรูปเป็นบริษัทจำกัด โครงสร้าง ธุรกิจของไปรษณีย์ไทย ยังคงประกอบด้วยธุรกิจหลัก 3 ด้านคือธุรกิจสื่อสาร ธุรกิจขนส่ง และธุรกิจการเงิน

ธุรกิจสื่อสาร ถือเป็นแหล่งรายได้หลัก แต่ดั้งเดิมของกิจการไปรษณีย์ โดยกว่า 80% ของรายได้ มาจากการรับส่งจากจดหมาย ไปรษณียบัตร และสิ่งตีพิมพ์ แต่เนื่องจากที่ผ่านมากิจการไปรษณีย์ถือเป็นบริการของรัฐ ดังนั้นผลประกอบการของกิจการไปรษณีย์จึงประสบกับภาวะขาดทุนมาโดยตลอด

จนเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2547 ไปรษณีย์ไทยได้รับอนุมัติจากรัฐบาลให้ปรับค่าธรรมเนียมการให้บริการจากเดิม 2 บาทเป็น 3 บาท ซึ่งถือเป็นการปรับค่าธรรมเนียม ขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี ทำให้ผลการดำเนินงานของไปรษณีย์ไทยในปีดังกล่าว มีกำไรขึ้นมาในทันที 200 ล้านบาท

"ที่ผ่านมาต้นทุนของไปรษณีย์ไทยต่อจดหมาย 1 ฉบับ มีมูลค่าเฉลี่ยเกือบ 4 บาท เป็นเหตุผลของการแบกรับต้นทุน และกลายเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้กิจการไปรษณีย์ต้อง ประสบภาวะขาดทุนมาโดยตลอดตั้งแต่เริ่มให้บริการในประเทศไทย" ออมสินบอก

การขึ้นค่าบริการ จึงเป็นทางออกหนึ่ง สำหรับการสร้างรายได้ให้กับไปรษณีย์ไทย แต่ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ความสามารถ ในการแข่งขันของไปรษณีย์ไทยมีมากขึ้น โดย เฉพาะเมื่อเทียบกับ courier จากต่างประเทศ เพราะแม้ว่าไปรษณีย์ของไทยจะแปรรูปมาเป็นบริษัทจำกัดแล้ว แต่มีกระทรวงไอซีทีเป็น ผู้ถือหุ้นใหญ่ ทำให้ยังมีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจ ซึ่งต้องอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ไปรษณีย์ พ.ศ.2477 ที่กำหนดให้ไปรษณีย์ไทยไม่สามารถลดค่าธรรมเนียมลงมาได้ ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็ตาม

ข้อกำหนดดังกล่าวทำให้ไปรษณีย์ไทย ขาดความคล่องตัวในการทำตลาด โดยเฉพาะ กับลูกค้าซึ่งเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่มีปริมาณ การส่งจดหมายในแต่ละวันเป็นจำนวนมาก มีการต่อรองเพื่อขอลดค่าธรรมเนียมในการส่งเอกสาร แม้แต่การวางแผนส่งเสริมการขาย อาทิ การลด แลก แจก แถม เพื่อสร้างอำนาจ ในการแข่งขัน ก็ไม่สามารถทำได้ง่ายนัก

"หากลดค่าธรรมเนียม ถือว่าเราทำผิดกฎหมายในทันที" ออมสินย้ำ

แม้จะมีข้อจำกัดหลายประการที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับแรงท้าทายที่เพิ่มขึ้น แต่ไปรษณีย์ไทยก็ยังมีสินทรัพย์ซึ่งถือเป็นจุดเด่น สำคัญที่ทุกคนยอมรับ นั่นคือการวางเครือข่าย ที่ทำการไปรษณีย์และบุรุษไปรษณีย์ครอบ คลุมพื้นที่แทบทุกตารางนิ้วทั่วประเทศ

เป็นสินทรัพย์ที่ได้มีการลงทุนไว้นานแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนเพิ่มแต่อย่างใด

ที่ทำการไปรษณีย์หลายแห่งตั้งอยู่ในชุมชนห่างไกลที่การสื่อสารหรือคมนาคมยังเข้าถึงได้ไม่สะดวก ขณะที่บุรุษไปรษณีย์ของไปรษณีย์ไทย ก็ถือเป็นบุคลากรที่รู้จักบ้านทุกหลัง รวมทั้งคนแทบทุกคนที่อาศัยอยู่ในบ้านแต่ละหลังในในทุกซอกทุกซอยของประเทศไทยได้เป็นอย่างดี

ทุกวันนี้ที่ทำการไปรษณีย์ทุกแห่งเชื่อม โยงเข้าด้วยกัน ด้วยรถขนส่งไปรษณียภัณฑ์Œ ซึ่งก็เป็นการเชื่อมโยงเครือข่าย โดยไม่ต้องอาศัยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่ได้มีการวางโปรแกรมเอาไว้อย่างเป็นระบบ โดยที่ไม่ต้องลงทุนเพิ่ม

ขณะที่การนำระบบเทคโน โลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในการเชื่อมโยงข้อมูลของที่ทำการทุกแห่งเข้าด้วยกันด้วยระบบออนไลน์ ปัจจุบันไปรษณีย์ไทยอยู่ในระหว่าง การเจรจาเพื่อหาผู้ประกอบการเข้ามาติดตั้งระบบไอทีดังกล่าว

ปัจจุบันทั่วประเทศมีที่ทำการไปรษณีย์รวม 4,499 แห่ง แบ่งเป็นที่ทำการของไปรษณีย์ไทยเอง 1,178 แห่ง และที่ทำการไปรษณีย์อนุญาต 3,321 แห่ง และมีบุรุษไปรษณีย์ 7,033 คน

หากวัดเชิงสถิติจำนวนเครือข่ายที่ทำการของไปรษณีย์ไทย 1,178 แห่ง มีเป็นรองก็เพียง เครือข่ายสาขาของร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ที่มีอยู่ 3,095 แห่ง (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่าน มา) และสถานีบริการน้ำมันของ ปตท.ที่มีอยู่ 1,335 แห่ง

แต่หากเทียบกับเครือข่ายที่สามารถใช้เป็นช่องทางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของธุรกิจอื่นๆ อาทิ สาขาธนาคารพาณิชย์ หรือสถานีบริการน้ำมันยี่ห้ออื่น ที่กระจายครอบคลุมทั่วประเทศ เช่นกันแล้ว ในเชิงองค์กรถือว่าที่ทำการไปรษณีย์มีมากกว่าช่องทางจำหน่ายสินค้าของธุรกิจเหล่านี้ทั้งสิ้น

(จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย ณ วันที่ 31 สิงหาคมที่ผ่านมา สาขาธนาคาร พาณิชย์ทั่วประเทศมีจำนวนรวม 4,078 แห่ง ในจำนวนนี้เป็นของธนาคารกรุงเทพมากที่สุด 656 แห่ง รองลงมาเป็นธนาคารกรุงไทย 632 แห่ง และธนาคารกสิกรไทยเป็นอันดับ 3 มีทั้งสิ้น 496 แห่ง ส่วนข้อมูลจากกรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน ณ วันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา จำนวน สถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศมี 19,300 แห่ง ในจำนวนนี้เป็นของ ปตท.มากที่สุด 1,335 แห่ง รองลงมาเป็นเชลล์ 608 แห่ง และเอสโซ่เป็นอันดับ 3 จำนวน 606 แห่ง)

หากมองภาพรวม ด้วยจำนวนเครือข่ายที่ทำการทั้งของไปรษณีย์ไทย ไปรษณีย์รับ อนุญาต และจำนวนบุรุษไปรษณีย์ที่มีอยู่ทั้งหมดนี้ หากผู้บริหารของไปรษณีย์ไทยสามารถนำมาพัฒนาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิ ภาพแล้ว จะกลายเป็นช่องทางการกระจายสินค้า และทีมงานขายตรงที่สามารถนำเสนอ สินค้าและบริการ ให้เข้าไปถึงยังทุกแหล่งชุมชนต่างๆ ที่ธุรกิจอื่นยังไม่สามารถเข้าไปได้ถึง

อาจกล่าวได้ว่าเป็นเครือข่ายการขายสินค้าและบริการที่มีศักยภาพ และมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยได้เลยทีเดียว

3 ปีก่อน เมื่อครั้งวิโรจน์ นวลแข ยังเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เขาเคยมีแนวคิดที่จะให้ธนาคารกรุงไทยเข้าซื้อกิจการของบริษัทไปรษณีย์ไทย ที่กำลังจะแปรรูปจากรัฐวิสาหกิจ มาเป็นบริษัทจำกัด เนื่องจากมองเห็นถึงศักยภาพของเครือข่ายที่ทำการไปรษณีย์เหล่านี้ว่าจะสามารถเสริม concept การเป็น convenient bank ของธนาคารกรุงไทยได้อย่างลงตัว และสามารถใช้เครือข่ายเหล่านี้ เป็นจุดขายบริการทาง การเงินของธนาคารได้อย่างเข้าถึงตัวผู้บริโภค มากที่สุด

แต่แนวคิดนี้ก็ถูกคัดค้านโดยคนไปรษณีย์ไทยด้วยกันเอง

หรือแม้แต่ประเสริฐ มนูพิบูลย์ ผู้จัดการทั่วไปของบริษัทเคาน์เตอร์ เซอร์วิส ผู้ครอง ตลาดอันดับ 1 ในธุรกิจรับชำระค่าสินค้า บริการ และสาธารณูปโภค ยังยอมรับว่าเครือข่ายที่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งของเคาน์เตอร์เซอร์วิสได้ คือที่ทำการสาขาของไปรษณีย์ไทย เพียงแต่จุดขายของทั้ง 2 เครือ ข่ายนี้แตกต่างกันตรงที่เคาน์เตอร์เซอร์วิสเน้นเปิดสาขาในย่านชุมชน หรือแหล่งที่มีคนสัญจรไป-มา แต่สาขาของไปรษณีย์ไทยจะอยู่ในย่านชุมชนห่างไกล เช่น ในหมู่บ้านหรือตามชนบท

(รายละเอียดของเคาน์เตอร์เซอร์วิส อ่านเรื่อง "7-Eleven's Growth Business" ประกอบ)

2 ปีที่ผ่านมา หลังการแปรรูปเป็นบริษัทจำกัด ผู้บริหารของไปรษณีย์ไทยทุกคนมองเห็น ถึงศักยภาพของเครือข่ายที่ตนเองมีอยู่ดังกล่าว และพยายามใช้ศักยภาพของพื้นที่ภายในที่ทำการ ไปรษณีย์ให้ได้ประโยชน์สูงที่สุด

เป้าหมายของไปรษณีย์ไทยคือเปลี่ยนการรับรู้ หรือความรู้สึกของผู้บริโภคที่มีต่อ brand ไปรษณีย์ไทย จากการเป็นเพียงผู้ให้บริการรับ-ส่งจดหมาย หรือพัสดุภัณฑ์ให้เหมือนกับเป็น "Service Supermarket" หรือแหล่งรวมสินค้าด้านบริการสารพัดอย่าง

มีการเพิ่มบริการหลายอย่างเข้ามาโดย เฉพาะในธุรกิจการเงิน ซึ่งกำลังเป็นธุรกิจดาวเด่นของไปรษณีย์ไทยในขณะนี้ เพราะมีอัตราการเจริญเติบโตของรายได้ถึงปีละ 100% หลังจากแปรรูปเป็นบริษัทจำกัดเป็น ต้นมา

(รายละเอียดอ่านเรื่อง "Easy pay with CA Post" ประกอบ)

หรือการเปิดให้ประชาชนสามารถสั่งจองพระเครื่อง รวมถึงซื้อกรมธรรม์ประกันภัย รวมถึงสินค้าและบริการอื่นๆ ได้จากที่ทำการ ไปรษณีย์ทุกแห่ง

ในส่วนของบุรุษไปรษณีย์ ก็เคยเป็นพนักงานขายเครื่องสำอางของยูสตาร์ ที่เพิ่ง บอกเลิกสัญญากันไปเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา เนื่องจากไม่ประสบความสำเร็จทางด้านยอดขาย แต่ก็ยังให้เป็นคนขายตรง ครีมหน้าเด้งขององค์กรเภสัชกรรม

ที่ทำการไปรษณีย์บางแห่งสามารถนำพื้นที่มาหาประโยชน์ได้ หากไม่ขัดแย้งกับธุรกิจหลักของไปรษณีย์ไทย อาทิ ที่ทำการไปรษณีย์แม่ปิง จังหวัดเชียงใหม่ ที่สามารถเก็บค่าจอดรถจากคนที่นำรถไปจอดเพื่อเข้า ไปจับจ่ายซื้อของที่ตลาดวโรรสได้ถึงเดือนละนับแสนบาท หรือที่ทำการไปรษณีย์อีกหลายแห่ง ที่เริ่มแบ่งพื้นที่ให้ธุรกิจอื่นๆ เข้าไปใช้เช่าใช้พื้นที่ได้ อาทิ บริษัทขายโทรศัพท์มือถือ เข้าไปเช่าเปิดบูธขายโทรศัพท์ หรือเปิดเป็นร้านกาแฟ Post cafe

แต่อาจจะด้วยบุคลิกภาพของหน่วยงานที่เคยเป็นกิจการบริการของรัฐ ทำให้แนวทางการปรับเปลี่ยนโมเดลการทำธุรกิจดังกล่าว ทำได้ค่อนข้างช้า และยังไม่เป็นระบบเท่าที่ควร

การเพิ่มสินค้า หรือบริการ ณ จุดขาย ในที่ทำการไปรษณีย์ ยังเป็นในลักษณะตั้งรับ คือใครคิดว่าอยากจะอาศัยเครือข่ายไปรษณีย์ เป็นช่องทางขายสินค้าของตนเองก็ติดต่อเข้ามา แต่การพัฒนาศักยภาพของเครือข่ายในเชิงรุก ประเภทที่มีการวางแผนเพิ่มสินค้าและบริการตามพฤติกรรม หรือวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค ที่ดำเนินการโดยไปรษณีย์ไทยเอง ยังมองเห็นได้ไม่เด่นชัดนัก

ที่น่าเสียดายคือ หากหลังจากการเชื่อมโยงข้อมูลของที่ทำการไปรษณีย์ทุกแห่งเข้าด้วยกันด้วยระบบออนไลน์ ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะทำให้ไปรษณีย์ไทยสามารถใช้เครือข่ายที่มีอยู่ได้อย่างเต็มศักยภาพมากที่สุดแล้ว แนวทางดังกล่าวยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงเท่ากับการปรับเปลี่ยนทั้งหลายที่เกิดขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หลังจากแปรรูปจากรัฐวิสาหกิจมาเป็นบริษัทจำกัด แทบจะเท่ากับเป็นการลงทุนที่สูญเปล่า

แรงท้าทายทั้งหลายที่เข้ามากดดันให้ไปรษณีย์ไทยต้องดิ้นรนแสวงหาโอกาสทางธุรกิจ รวมถึงรูปแบบธุรกิจใหม่ๆ เพื่อสร้างรายได้เพิ่มขึ้นนั้น ดูไปแล้วอาจไม่ใช่เรื่องยาก หากไปรษณีย์ ไทยสามารถใช้เครือข่ายซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพ

สิ่งที่ยากกว่า คือการปรับเปลี่ยนทัศนคติ วิสัยทัศน์ วิธีคิด และขั้นตอนการทำงานของ พนักงานทุกระดับ ตั้งแต่ผู้บริหารลงมาถึงเจ้าหน้าที่ระดับล่าง

การเป็นเอกชน ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนชื่อ   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us