|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
ซีฟโก้ ยอมรับรายได้พลาดเป้าไม่ถึง 30% หลังราคาน้ำมันพ่นพิษ กดไตรมาส 2 กำไรหด 60% ผู้บริหารมั่นใจครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรกที่มีรายได้ 505.33 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 26.79 เหตุ มาร์จิ้นดีขึ้น จากการปรับราคาขึ้นตามต้นทุน งานในมือ พร้อมเผย เตรียมเข้าประมูลงานเพิ่มอีก 5-6 โครงการ มูลค่าเฉลี่ย 100 ล้านบาท จากขณะนี้ที่มี 500-600 ล้านบาท
ความเคลื่อนไหวราคาหุ้นบริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO แม้จะได้แรงหนุนจากกระแสข่าวโครงการสาธารณูปโภค หรือ เมกะโปรเจกต์มาเป็นระยะ แต่เนื่องจากผลประกอบการในช่วงที่ผ่านมาไม่น่าประทับใจ ส่งผลให้ราคาหุ้น SEAFCO รอบ 1 ปีนับจาก ที่หุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (3 ก.ย.47-2 ก.ย.48) ทรุดลงถึง 26.56% หลังจากที่ผลประกอบการในปี 2548 ที่ผ่านมาออกมาไม่น่าประทับใจ
อย่างไรก็ดี ราคาปิดล่าสุด (23 ก.ย.48) ปิดที่ 4.48 บาท ก็ยังคงสูงกว่าราคาจองซึ่งอยู่ที่ 4 บาท ลุ้นรายได้ครึ่งปีหลังสูง
นายณรงค์ ทัศนนิพันธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO กล่าวกับ "ผู้จัดการรายวัน" ว่า บริษัท คาดว่า ไตรมาส 3/48 จะมีรายได้มากกว่าไตรมาส 2/48 ที่มีรายได้ 233.53 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 8.34 ล้านบาท เนื่องจาก 2 เดือนแรกในไตรมาส 3/48 มีกำไรมากกว่าไตรมาส 2 มากพอสมควร และจากการที่บริษัทได้มีการปรับราคาวัตถุดิบเพิ่มขึ้น และจากราคาน้ำมันที่เริ่มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ทำให้บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น
"ไตรมาส2/48 บริษัทมีกำไรสุทธิ 8.34 ล้านบาท ลดลง 60.27% จากไตรมาสเดียวกันปี 47 เนื่องจาก ประสบปัญหาเรื่องเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ซึ่งบริษัทได้ดำเนินการในวัตถุดิบในต้นทุนเดิมไม่ได้มีการปรับเพิ่มขึ้นตามราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นทำให้บริษัทมีมาร์จิ้นที่ต่ำ" นายณรงค์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัท ซีฟโก้ ดำเนินธุรกิจรับเหมา ก่อสร้างงานฐานราก และงานโยธาในส่วนที่อยู่ภายใต้พื้นดิน บริษัทคาดว่ารายได้ในครึ่งปีหลังจะสูงกว่า ครึ่งปีแรก ที่มีรายได้ 505.33 ล้านบาท มีกำไร สุทธิ 26.79 ล้านบาท ซึ่งจะไม่มากนัก แต่ว่า ในเรื่องของอัตรากำไรขั้นต้น (มาร์จิ้น) จะมีกว่า ครึ่งปีแรก เพราะบริษัทได้มีการปรับราคาดำเนินงาน โดยเฉพาะในไตรมาส 4/48 นั้นจะเป็นช่วงที่บริษัทสามารถดำเนินธุรกิจได้ดี และรวมถึงขณะนี้บริษัทมีงานในมือจำนวนมาก
ฟุ้ง ตปท.สนใจ
นายณรงค์ กล่าวว่า บริษัทมีงานในมือ เฉลี่ยประมาณ 500-600 ล้านบาท จำนวน 10 โครงการ ซึ่งในแต่ละเดือนนั้นบริษัทจะมีงานเข้ามาใหม่ประมาณ 100 ล้านบาท โดยขณะนี้ บริษัทอยู่ระหว่างประมูลงานเพิ่มอีกประมาณ 5-6 โครงการ ซึ่งมีมูลค่าเฉลี่ยประมาณ 100 ล้าน บาท ซึ่งเป็นงานภาคเอกชนและ งานภาครัฐบาล ซึ่งจะเป็นลักษณะการรับงานต่อจากบริษัทที่ได้รับการประมูล
อย่างไรก็ดี บริษัทได้ปรับประมาณการรายได้ปี 48 ใกล้เคียงกับปี 47 ที่มีรายได้ 993.59 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 80.66 ล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้น 30% เพราะไตรมาส 2/48 บริษัทประสบปัญหาเรื่องต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอทำให้มีกำไรลดลงมาก
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงิน ปันผลในอัตรากำไรสุทธิไม่เกิน 50% ของกำไรสุทธิ "ที่ผ่านมาก็มีนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศก็มีการติดต่อกับบริษัท ซึ่งจะเป็นลักษณะของการสอบถามข้อมูล ซึ่งส่วนตัวก็ไม่ทราบว่าจะเข้ามาซื้อหุ้นหรือไม่ และเมื่อช่วง ที่ภาวะตลาดหุ้นไม่ค่อยดี ทำให้ราคาหุ้นปรับตัว ลดลงมานั้น บริษัทก็ไม่ได้เข้าไปซื้อหุ้น เพราะ ขณะนี้ก็ถือหุ้นไว้ในสัดส่วนที่สูง ซึ่งหากเข้าไปซื้อหุ้นอีกก็จะทำให้สภาพคล่องน้อยลง" นายณรงค์ กล่าว
บทวิเคราะห์ บล.ยูไนเต็ด จำกัด (มหาชน) หรือ US แจ้งว่าในช่วงไตรมาส 3/48 จะมีเพิ่มขึ้นจากการปล่อยลอยตัวน้ำมันดีเซลในเดือน พ.ค. เนื่องจาก ผู้ว่าจ้างรอดูความชัดเจนในเรื่อง ดังกล่าวทำให้ทราบต้นทุนที่แท้จริง โดยผู้ว่าจ้าง ก็เริ่มจ้างงานมากขึ้น ทำให้บริษัทมีงานเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้น มิ.ย. บริษัทมีงานในมือเหลืออยู่ 528 ล้านบาท
ขณะที่ในช่วง ก.ค.-ต้น ก.ย.ที่ผ่านมา บริษัทได้งานเพิ่มอีกประมาณ 400 ล้านบาท โดยจากงานในมือที่มีอยู่คาดว่าจะรับรู้รายได้ ในไตรมาส 3 ประมาณ 400 ล้านบาท โดยบริษัทคาดว่ารายได้ในปีนี้ ประมาณ 1,091 ล้าน บาท เพิ่มขึ้น 11.4% จากปี 47 ซึ่งบริษัทคาดกำไรสุทธิปีนี้ที่ประมาณ 66 ล้านบาท ลดลง 18.5% จากปี ก่อน
|
|
 |
|
|