Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤศจิกายน 2545








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤศจิกายน 2545
บริษัทแรกในรอบ 5 ปี             
 


   
search resources

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้, บมจ.




หากเป็นไปตามกำหนดการ ประมาณกลางเดือนพฤศจิกายนนี้ การพิจารณาข้อมูลของบริษัทลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ในชั้นของ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) น่าจะเสร็จสมบูรณ์ พร้อมเปิดให้บริษัทกระจายหุ้นขายต่อประชาชนทั่วไป ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้าย ก่อนจะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ได้ยื่นข้อมูลให้ ก.ล.ต. เมื่อวันที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา และถือเป็นบริษัทในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แห่งแรก ในรอบ 5 ปี ที่แสดงความจำนงอย่างชัดเจนว่าจะเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียน นับตั้งแต่เกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจขึ้นเมื่อ ปี 2540

"ตอนนี้เป็นจังหวะดีที่เราจะต้องระดมทุน เพราะเชื่อว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะยังคงเป็นธงนำของรัฐบาลในการกระตุ้น เศรษฐกิจโดยรวมต่อไปอีก" ไชยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการ บริหาร ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ บอก "ผู้จัดการ"

การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ต้องการระดมเงินทุนจำนวน 1,000 ล้านบาท เพื่อในไปใช้ในการขยายโครงการใหม่ในปีหน้า ซึ่งตั้งเป้าไว้ว่าจะขยายเพิ่มขึ้นอีก 3 แห่ง

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ เป็นบริษัทพัฒนาอสังหา ริมทรัพย์ที่เน้นสร้างเฉพาะโครงการบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮาส์ สำหรับคนระดับกลางถึงระดับสูง ในพื้นที่เมืองชั้นนอกของกรุงเทพฯ ราคาบ้านโดยเฉลี่ย ของลลิลอยู่ในระดับ 1-3 ล้านบาท

ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2545 ลลิลมีจำนวนโครงการที่ยังเปิดขายอยู่ทั้งสิ้น 12 โครงการ มูลค่า รวม 7,039 ล้านบาท

ลลิลมิใช่ดีเวลลอปเปอร์รายใหม่ ที่อาศัยจังหวะการเฟื่องฟูของตลาดหุ้นเสริมสร้างธุรกิจของตนเองให้ขยายตัว เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในช่วงปี 2536-2538 ในทางตรงข้ามบริษัทแห่งนี้ มีประวัติ ศาสตร์ที่นานพอสมควร จุดกำเนิด และกลยุทธ์ที่ใช้ในการขยายโครงการ ก็มีความน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

ผู้ก่อตั้งลลิล พร็อพเพอร์ตี้ คือ ทวีศักดิ์ วัชรรัคคาวงศ์ พี่ชายคนโตของไชยันต์ ชาครกุล

อาชีพดั้งเดิมของทวีศักดิ์ ซึ่งสืบทอดต่อมาจากรุ่นพ่อคือรับเหมาก่อสร้าง เขาคือผู้รับเหมารายใหญ่ให้กับบริษัทบ้านและที่ดินไทย ในเครือตึกดำ ของสุธี นพคุณ ผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่ม PSA ร่วมกับพร สิทธิอำนวย ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจที่ยิ่งใหญ่มาก เมื่อประมาณ 25 ปีก่อน

การเข้ามาทำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของทวีศักดิ์เกิดขึ้นโดยมิได้ตั้งใจ เพราะเมื่อกลุ่มตึกดำล่มสลายลงในกลางทศวรรษ 2520 บริษัทบ้านและที่ดินไทยได้ค้างค่ารับเหมาก่อสร้างกับทวีศักดิ์เป็นเงินประมาณ 10 ล้านบาท จึงได้นำที่ดินใน โครงการหมู่บ้านจัดสรรในซอยสุขุมวิท 101 มาชำระแทนเงินสด

ทวีศักดิ์นำโครงการนี้มาทำต่อ โดยมีไชยันต์คอยให้ความ ช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด และประสบความสำเร็จ

"ตอนนั้นเราคิดว่าถ้าจะทำแต่รับเหมาก่อสร้างอย่างเดียวมันเสี่ยง เพราะเงินเราต้องลงไปก่อน แล้วคนที่ว่าจ้างจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ ก็เลยตัดสินใจทำโครงการเอง" ไชยันต์เล่า

ผลสำเร็จจากการเข้า ไปรับช่วงโครงการในซอยสุขุมวิท 101 ของบริษัทบ้านและที่ดินไทย ทำให้ทวีศักดิ์และไชยันต์เริ่มต้นสะสมที่ดิน เพื่อนำมาทำโครงการบ้านจัดสรร โดยช่วง 2-3 ปีแรก ยังเป็นเพียงโครงการขนาดที่ไม่ใหญ่มากนักเพื่อสร้างสมประสบการณ์

ทั้งคู่เริ่มจริงจังกับธุรกิจ นี้ โดยจดทะเบียนตั้งบริษัท ลลิล แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ขึ้น เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2531 โครงการ แรกที่ทำในนามลลิล คือ "ลัลลี่ วิลล์" โครงการทาวน์เฮาส์ จำนวน 800 ยูนิต ใน 2 ทำเล คือ ถนนศรีนครินทร์ และธูปเตมีย์ พื้นที่รวม 88 ไร่ มูลค่ารวม 1,100 ล้านบาท

"เรามองว่าความต้องการที่อยู่อาศัยที่แท้จริงคือ บ้านเดี่ยว และทาวน์เฮาส์ และทำเลที่มีศักยภาพจริงๆ คือในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะพื้นที่รอบนอก 4 มุมเมือง เราจึงมุ่งเข็มมาทางนี้"

ระหว่างปี 2535-2538 เส้นทางเดินของตลาดหุ้น และตลาดอสังหาริมทรัพย์มีทิศทางเดียวกัน ช่วงนี้เป็นช่วงที่ทั้งตลาด หุ้น และอสังหาริมทรัพย์อยู่ในขั้นบูมสุดขีด

ขณะนั้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีบริษัทอสังหาริมทรัพย์เข้าไปจดทะเบียนอยู่แล้วถึง 33 บริษัท และยังมีบริษัทที่เข้าคิวรอเป็นบริษัทจดทะเบียนอยู่อีก 36 บริษัท แต่ในจำนวนนี้ ไม่มีชื่อ ของลลิล แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ รวมอยู่ด้วย

ไชยันต์บอกถึงสถานการณ์ในช่วงนั้นว่า มีการเก็งกำไรกัน มากเกินไป ที่ดินสวยๆ หลายแปลงในกรุงเทพฯ ถูกจับจองเอา ไว้หมด การซื้อจึงจำเป็นต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก ซึ่งเป็นเหตุผล ที่หลายบริษัทต้องเข้าไประดมทุนในตลาดหุ้น และสุดท้ายก็มีความเสี่ยงสูง เพราะราคาบ้านและที่ดินที่มีการซื้อขายกัน ไม่ได้ตอบสนองต่ออุปสงค์ที่แท้จริง

ประกอบกับฐานเงินทุนของลลิลในขณะนั้น ก็มีเพียงพอ จึงไม่มีความจำเป็นต้องเข้าไปอาศัยกลไกของตลาดหุ้น

"ตอนนั้นเราตั้งเป้าไว้ว่า ขนาดของเราจะต้องติดอันดับ 1 ใน 5 ของบริษัทนอกตลาด"

การไม่เข้าตลาดหุ้นของ ลลิลในช่วงนั้น ทำให้บริษัทจำเป็นต้องมีการขยายตัวแบบ ค่อยเป็นค่อยไป โดยใช้ฐานเงินทุนของตัวเองเป็นหลัก "ตั้งแต่ตั้งบริษัท อัตราส่วนหนี้สินต่อเงินทุนของเรา ไม่เคยถึง 1 เท่า"

ยุทธศาสตร์นี้ได้แสดงผลดีในภายหลัง เพราะเมื่อฟองสบู่แตก บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากกว่าครึ่ง ต้องปิดตัวเองลง ส่วนที่เหลือกว่า 90% ก็กลายเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของธนาคาร แต่ลลิล แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ยังคงฐานะของลูกค้าปกติกับทุกสถาบันการเงิน

ปลายปี 2541 หลังจากช่วงที่รุนแรงที่สุดของวิกฤติเศรษฐกิจเริ่มคลี่คลายลง ลลิลมองเห็นทิศทางความต้องการซื้อ ที่อยู่อาศัยของประชาชน มีแนวโน้มจะกลับมาขยายตัวอีกครั้ง

สถานการณ์ในช่วงนั้น มีโครงการที่ยังสร้างไม่เสร็จเหลือค้างอยู่อีกเป็นจำนวนมาก และหลายโครงการที่มีศักยภาพ แต่ต้องหยุดการก่อสร้าง เพราะเจ้าของโครงการประสบปัญหาทาง การเงิน

ลลิลเคยมีประสบการณ์ในการนำโครงการที่มีปัญหาไปทำต่อจนเสร็จมาแล้วในช่วงเริ่มก่อตั้ง จึงมองสถานการณ์เช่นนี้เป็นโอกาส และเริ่มมองหาโครงการประเภทที่มีศักยภาพเพื่อนำไปทำต่อ

"การเทกโอเวอร์ครั้งแรกเราทำเพื่อให้อยู่รอด แต่คราวนี้เราทำเพราะเรามองเห็นวิกฤติเป็นโอกาส"

ต้นปี 2542 ลลิลเข้าไปซื้อโครงการบ้านเดี่ยว จำนวน 200 ยูนิต ในพื้นที่ 40 ไร่ บนถนนสุขุมวิท 77 - อ่อนนุช เพื่อมาทำเป็นโครงการลลิล กรีนวิลล์ มีมูลค่ารวมประมาณ 650 ล้านบาท โครงการนี้เดิมเป็นของบริษัทคันทรี่ (ประเทศไทย) แต่ติดไฟแนนซ์ อยู่กับบริษัทเงินทุนสินเอเซีย ในช่วงที่เกิดวิกฤติ

การเข้าไปเทกโอเวอร์โครงการนี้ ลลิลได้เริ่มต้นสร้างปรากฏการณ์ใหม่ 2 อย่างขึ้นในวงการพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ หนึ่ง-คือการสร้างบ้านก่อนขาย และสอง-การนำระบบค้ำประกันเงินดาวน์ (Escrow Account) เข้ามาใช้

"เราทำเพราะต้องการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า ตอนนั้นความต้องการที่อยู่อาศัยมีมาก แต่ทุกคนกลัวว่าเมื่อจ่ายเงินดาวน์ไปแล้วจะไม่ได้บ้าน"

ทั้ง 2 กลยุทธ์ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี

จากโครงการที่อ่อนนุชในปี 2542 จนถึงปัจจุบัน ลลิลได้ซื้อโครงการที่ได้มีการสร้างค้างไว้มาทำต่อเพิ่มขึ้น อีก 3 โครงการ คือ โครงการบ้านบุรีรมย์ ถนนรามอินทรา-คู้บอน บ้านบุรีรมย์ โครงการ 2 และ 3 รวมถึงโครงการ ลลิล กรีนวิลล์ บนถนนวัชรพล มูลค่ารวม 1,809 ล้านบาท และยังเตรียมเปิดโครงการบ้านบุรีรมย์ และลลิล กรีนวิลล์ รังสิต คลอง 4 ที่มีมูลค่ารวมประมาณ 2,800 ล้านบาท

นับแต่ปี 2542 ถึงปัจจุบัน ผลประกอบการของ ลลิล มีกำไรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 35.22 ล้านบาท ในปี 2542 เพิ่มเป็น 36.79 ล้านบาท ในปี 2543 และ 72.91 ล้านบาท ในปี 2544 ส่วนงวดครึ่งปี ณ วันที่ 31 มิถุนายนที่ผ่านมา ลลิลมีกำไรแล้ว 106.9 ล้านบาท

ไชยันต์มองสถานการณ์ของธุรกิจพัฒนาอสังหา ริมทรัพย์ปัจจุบันว่า มีความแตกต่างจากเมื่อปี 2536-2538 อย่างสิ้นเชิง ภาวะการเก็งกำไรได้ลดน้อยลง ความต้อง การซื้อ และราคาของบ้าน ได้ปรับตัวเข้าสู่สมดุล และ ผู้ประกอบการที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่ราย ก็มีความเป็นมืออาชีพ

เมื่อไม่นานมานี้ เขาจึงได้เปลี่ยนชื่อบริษัทจาก ลลิล แลนด์ แอนด์ เฮาส์ เป็น ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ โดยใช้ อักษรย่อ LP และยื่นเรื่องขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ

เขาเชื่อว่าด้วยผลงาน และผลประกอบการของ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ (LP) น่าจะเป็นหุ้นบลูชิป ที่เป็นทางเลือกใหม่ให้กับนักลงทุนได้อีกตัวหนึ่ง

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us