|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
คนวงการบริหารเงินแนะผู้มีเงินออม สำรวจตัวเองก่อนเลือกลงทุนในยุคที่ทุกค่ายแย่งชิงเงินออม ฝากระยะสั้นมีโอกาสเลือกผลตอบแทนสูงในอนาคตได้ง่ายกว่า หากไม่คิดมากเลือกพันธบัตรรัฐบาล 5% ก็น่าสนใจ ส่วนกองทุนรวมผุดจ่ายดอกทุก 3 เดือนให้ผลตอบแทน 3.8%ต่อปี
หลังจากการปรับอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรจาก 2.75% เป็น 3.25% เมื่อ 7 กันยายนที่ผ่าน ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์เกือบทุกแห่งต่างขยับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากขึ้น รวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ไม่เพียงแค่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ขยับขึ้นเพื่อช่วงชิงลูกค้าเงินฝาก แต่ยังมีพันธบัตรรัฐบาลที่เสนออัตราดอกเบี้ยสูงเกินกว่า 5% ออกมาตัดหน้าเช่นกัน
สถานการณ์นี้จึงเป็นเรื่องยากสำหรับผู้มีเงินออมว่าควรจะตัดสินใจลงทุนอะไรที่ให้ผลตอบแทนดี และไม่เสียโอกาสกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น
"ขณะนี้ทั้งสถาบันการเงิน รวมถึงรัฐบาลต่างพยายามออกผลิตภัณฑ์เพื่อดึงดูดใจผู้มีเงินออม ทั้งการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก หรือการเสนอขายพันธบัตรระยะยาวที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า 5%" แหล่งข่าวจากวงการค้าตราสารหนี้กล่าว
ดังนั้นผู้มีเงินออมจะต้องสำรวจตัวเองว่าพร้อมกับการออมระยะสั้นหรือยาว รวมถึงการคาดการณ์เรื่องสถานการณ์ดอกเบี้ยด้วย ซึ่งอยู่ในทิศขาขึ้น หากผู้ออมมองว่าอัตราดอกเบี้ยในอีก 1-2 ปีจะปรับขึ้นไปมากก็อาจเลือกออมด้วยการฝากเงินในบัญชีฝากประจำ 12 เดือน เผื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับขึ้นมากก็สามารถโยกหรือเปลี่ยนประเภทการลงทุนได้
ส่วนผู้ที่ยอมรับกับอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5% กับเวลาอีก 5 ปีได้ ก็เลือกซื้อพันธบัตรรัฐบาล ทั้งนี้การฝากเงินหรือการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลจะต้องเสียภาษีจากดอกเบี้ยที่ได้รับ
อย่างไรก็ตามเรื่องทิศทางอัตราดอกเบี้ยเป็นเรื่องที่คาดการณ์ลำบากว่าจะขึ้นไปถึงระดับใด แต่ถ้าประเมินจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เช่น นโยบายการลงทุนของรัฐบาลในโครงการเมกกะโปรเจคท์ ที่ใช้เงินลงทุน 1.7 ล้านล้านบาท ก็มีความเป็นที่อัตราดอกเบี้ยจะปรับเพิ่มขึ้นได้อีก รวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่ 8 เดือนของปี 2548 ขยับขึ้นมาที่ 3.8% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรยังอยู่ที่ 3.25% รวมถึงสถานการณ์เรื่องการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด จึงมีความเป็นไปได้เช่นกันที่อัตราดอกเบี้ยจะปรับเพิ่มขึ้น
หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรจะค่อย ๆ ปรับขึ้นและน่าจะขึ้นไปถึงระดับ 4-4.5% ในสิ้นปี 2549 ดังนั้นบรรดานักลงทุนประเภทสถาบันจึงเลือกลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุไม่เกิน 1 ปีเป็นหลัก ซึ่งอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรอายุ 1 ปีขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 3.5% แน่นอนว่าผลตอบแทนสูงกว่าการฝากเงินไว้กับธนาคารประเภทประจำ 1 ปีอยู่มาก
ขณะที่การซื้อพันธบัตรอาจต้องใช้วงเงินสูงในการซื้อ จึงเหมาะสำหรับผู้มีเงินออมจำนวนมาก ส่วนผู้ที่มีเงินออมไม่มากอาจเลือกลงทุนในพันธบัตรได้โดยผ่านกองทุนรวมที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล
อัจฉรา สุทธิศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่า ขณะนี้ทางบริษัทได้ออกกองทุนเปิดแมกซ์พันธบัตร 2 คุ้มครองเงินต้น อายุ 2 ปี ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไม่ต่ำกว่า 80% โดยให้ผลตอบแทนทุก 3 เดือน จ่ายผลตอบแทนทั้งสิ้น 8 ครั้ง เริ่มที่ 2.75-5.25% ของมูลค่าหน่วยลงทุนเริ่มต้นที่ 10 บาท
เฉลี่ยแล้วกองทุนนี้จะให้ผลตอบแทนประมาณ 3.8% ต่อปี ซึ่งถือว่าให้ผลตอบแทนสูงกว่าการฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ ที่สำคัญคือผลตอบแทนที่ได้ไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งแตกต่างกับการฝากเงินกับธนาคารและพันธบัตรรัฐบาล อีกทั้งอายุของกองทุนแค่ 2 ปี เป็นช่วงเหมาะสมหากทิศทางอัตราดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้น เมื่อกองทุนครบอายุก็สามารถนำไปลงทุนในช่องทางอื่นได้อีก
ดังนั้นผู้มีเงินออมควรจะต้องตอบความต้องการของตนเองให้ได้ก่อนว่าต้องการผลตอบแทนจากการลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อยที่ผลตอบแทนอัตราใด ยอมรับได้หรือไม่หากได้รับผลตอบแทนสูงกว่าตลาดในช่วงแรก แต่อาจได้ผลตอบแทนน้อยกว่าตลาดในระยะยาว
|
|
|
|
|