Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน14 กันยายน 2548
ศรีไทยฯเพิ่มไลน์เทรดดิ้ง             
 


   
www resources

โฮมเพจ ศรีไทยซุปเปอร์แวร์

   
search resources

ศรีไทยซุปเปอร์แวร์, บมจ.
สนั่น อังอุบลกุล
Chemicals and Plastics




"สนั่น" สวมหมวกประธานกรรมการศรีไทยฯอีกใบ เตรียมรื้อโครงสร้างการบริหารภายในใหม่ แต่งตั้ง 3 รองกรรมการผู้จัดการดูแลธุรกิจพลาสติก, เมลามีน และเทรดดิ้งโดยตรง หวังขยายรายได้และกำไรในอนาคต ลั่นใช้เวียดนามเป็นฐานการผลิตเมลามีนและพลาสติกในอนาคตยอมรับปีนี้รายได้โตพลาดเป้าเหลือเพียง 3,900 ล้านบาท แต่ปีหน้าคาดว่ารายได้โต 10% เฉียด 4,300 พันล้านบาท

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน)(SITHAI) เปิดเผยว่า บริษัทฯมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารงานในบริษัทฯในปีหน้า โดยจะมีการแต่งตั้งผู้บริหารระดับรองกรรมการผู้จัดการ 3 คนขึ้นมาดูแลโดยตรงในสายธุรกิจพลาสติก ธุรกิจเมลามีน และธุรกิจเทรดดิ้ง จากเดิมที่ตนเป็นผู้ดูแลเองทั้งหมด ทั้งนี้ เพื่อสร้างรายได้และกำไรให้เติบโตขึ้นอย่างมั่นคงและยั่งยืน

ที่ผ่านมา ศรีไทยฯมีอัตรากำไรขั้นต้น(Gross Profit Margin) ค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะธุรกิจพลาสติก มีกำไรขั้นต้นเพียง 10.5% แต่เมื่อตั้งผู้บริหารขึ้นมาดูแลแต่ละกลุ่มโดยเฉพาะ เชื่อว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มขึ้นถึง 15% เพราะจะลดการสูญเสียในขบวนการผลิต รวมทั้งหาตลาดลูกค้าใหม่เพิ่มเติม

"ศรีไทยฯมีความแข็งแกร่งด้านการตลาดไดเร็กต์เซลส์ และการผลิต แต่เราขาดคนจะมาดูแล เทรดดิ้ง เพื่อขยายธุรกิจผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เน้นกลุ่มแม่บ้าน ซึ่งมองว่าธุรกิจนี้จะสร้างรายได้ให้ศรีไทยฯเติบโตขึ้น 15% ในอีก 3 ปีข้างหน้า จากเดิมที่บริษัทฯเติบโตปีละ 5-8% หากบริษัทฯต้องการเติบโต 15%จะต้องใช้เงินลงทุนขยายโรงงานจำนวนมาก ทำให้เราตัดสินใจหันไปทำธุรกิจเทรดดิ้งเพิ่มขึ้น เชื่อว่า ในเวลา 5 ปีข้างหน้า ธุรกิจเทรดดิ้งจะสร้างรายได้ให้ศรีไทยฯ 1,000 ล้านบาท"

นอกจากนี้ จะมีการปิดบริษัทฯย่อยที่สร้างรายได้ต่ำจำนวน 2 บริษัท ทำให้เหลือบริษัทในเครือ เพียง 18 บริษัท และขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมที่จะนำบริษัท ทาคาชิพลาสติก จำกัด และบริษัท ศรีไทยมิยากาวา จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯด้วย

นายสนั่น กล่าวต่อไปว่า บริษัทฯยังมีแผนที่จะใช้ประเทศเวียดนามเป็นฐานการผลิตเมลามีน และพลาสติกในอนาคต เนื่องจากในปีหน้า บริษัทฯจะเพิ่มทุนจดทะเบียนในบริษัท ศรีไทย(เวียดนาม) จำกัด ซึ่งศรีไทยถือหุ้นอยู่ 95% อีก 20 ล้านบาท เพื่อ ตั้งโรงงานผลิตเมลามีน ซึ่งในอนาคตธุรกิจเมลามีนจะไม่มีการขยายในไทย แต่จะหันไปลงทุนเวียดนาม แล้วนำเข้ามาจำหน่ายในไทย เพราะได้สิทธิพิเศษทาง การค้าเกี่ยวกับข้อตกลงเขตการค้า(อาฟตา) รวมไปถึง สินค้าพลาสติกในครัวเรือนที่ศรีไทยฯไม่ได้มีการผลิตในไทยด้วย เนื่องจากเวียดนามมีการเรียกเก็บภาษีนำเข้าวัตถุดิบเพียง 0-5% แต่ไทยต้องเสียภาษีนำเข้าวัตถุดิบ 20% ทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำ

ปัจจุบันศรีไทย (เวียดนาม) มีรายได้ประมาณ 120 ล้านบาท คาดว่าหลังตั้งโรงงานผลิตเมลามีนในเวียดนามแล้ว จะมีรายได้จะเพิ่มขึ้นเป็น 200 ล้านบาท รายได้ปีนี้พลาดเป้าโตแค่ 0.5%

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2548 บริษัทฯคาดว่าจะมีรายได้ 3,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 0.5% ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้เดิมว่าจะมีรายได้ 4.4 พันล้านบาท เนื่องจากต้นทุนพลาสติกปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยที่บริษัทฯไม่สามารถผลักภาระให้ลูกค้าได้ รวมทั้งเศรษฐกิจไทยชะลอตัวลง ทำให้เกรงว่าจะมีปัญหาการเก็บหนี้ จึงไม่สามารถรับการสั่งสินค้า (ออเดอร์)ระยะยาวได้ ดังนั้น บริษัทฯจึงปรับแผนใหม่โดยไม่เน้นเพิ่มรายได้แต่พยายามรักษาอัตรากำไร ไว้เท่าเดิม โดยเชื่อว่าครึ่งปีหลังนี้จะมีผลการดำเนินงานไม่ต่ำกว่าครึ่งปีที่ผ่านมา ที่มีรายได้ 1.8 พันล้านบาท และกำไรสุทธิ 115 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ในปี 2549 คาดว่าจะมียอดขายเพิ่มขึ้น 4,286 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนจากพลาสติก 62.3% และเมลามีน 37.7% โดยยอดขายจากเมลามีนจะมีอัตราเติบโตลดลง แต่ธุรกิจพลาสติกจะมีรายได้โตขึ้นมาก เพราะบริษัทจะหันไปผลิตชิ้นส่วนพลาสติก สำหรับยานยนต์เพิ่มขึ้น รวมไปถึงการเพิ่มกำลังการผลิตเปลือกแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์จักรยานยนต์เพิ่มเติมจากเดิมที่ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ขนาดใหญ่ โดยจะร่วมทุนกับAcuma ประเทศอิตาลี ในการทำตลาดแบตเตอรี่รถจักรยานยนต์ที่ยุโรป

นอกจากนี้ บริษัทฯจะผลิตสินค้าใหม่ๆเพิ่มเติม เพื่อรองรับความต้องการของตลาด เช่น พอร์ซเลน ภายใต้ยี่ห้อ มิยาโกะ ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯได้มีการร่วม ทุนกับญี่ปุ่นเพื่อผลิตพอร์ซเลนเพื่อการส่งออกอยู่แล้ว แต่เราเล็งเห็นตลาดในประเทศมีการเติบโตที่ดี จึงได้ ขยายกำลังการผลิตดังกล่าวเพื่อจำหน่ายในประเทศด้วย คาดว่าจะวางตลาดได้พฤศจิกายน 2548 รวมไปถึงการผลิต Material Handling โดยศรีไทยฯได้รับเทคโนโลยีจากบริษัท แซนโกะ ประเทศญี่ปุ่น เพื่อผลิตลังพลาสติกที่ใช้ในโรงงานประกอบรถยนต์ รวมทั้งผลิต Playground ฝาครอบสุขภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและ Bed Sheet ที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ได้ปลายปีนี้

ดังนั้น ในปี 2550-52 บริษัทฯจะมีรายได้เพิ่มขึ้น เป็น 4,900 ล้านบาท 5,600 ล้านบาท และ 6,500 ล้าน บาทตามลำดับ โดยแต่ละปีจะใช้เงินลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทฯมีหนี้สินระยะยาวเหลือ เพียง 425 ล้านบาท โดยสิ้นปีนี้จะมีการจ่ายคืนเงินต้นเหลือเพียง 275 ล้านบาท และปีหน้าคาดว่าจะชำระหนี้คืนทั้งหมดได้ คงเหลือเพียงเงินกู้ระยะสั้นเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน 200 ล้านบาท

สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นภายหลังจากนายสุมิตร เลิศสุมิตรกุล ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้ง และประธานกรรมการบริษัทฯเสียชีวิตไปนั้น คงจะไม่มี อะไรเปลี่ยนแปลง เนื่องจากผู้ถือหุ้นใหญ่ของศรีไทยฯ ยังเป็นตระกูลของอังอุบลกุลและตระกูลเลิศสุมิตรกุล อยู่ โดยหุ้นที่นายสุมิตรถืออยู่ประมาณ 10 กว่าล้าน หุ้นหรือคิดเป็น 5%จะโอนไปให้ทายาท ขณะที่ตนมีหุ้นศรีไทยอยู่ 39 ล้านหุ้นหรือคิดเป็น 10 กว่า %   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us