"สนั่น" สวมหมวกประธานกรรมการศรีไทยฯอีกใบ เตรียมรื้อโครงสร้างการบริหารภายในใหม่ แต่งตั้ง 3 รองกรรมการผู้จัดการดูแลธุรกิจพลาสติก, เมลามีน และเทรดดิ้งโดยตรง หวังขยายรายได้และกำไรในอนาคต ลั่นใช้เวียดนามเป็นฐานการผลิตเมลามีนและพลาสติกในอนาคตยอมรับปีนี้รายได้โตพลาดเป้าเหลือเพียง 3,900 ล้านบาท แต่ปีหน้าคาดว่ารายได้โต 10% เฉียด 4,300 พันล้านบาท
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน)(SITHAI) เปิดเผยว่า บริษัทฯมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารงานในบริษัทฯในปีหน้า โดยจะมีการแต่งตั้งผู้บริหารระดับรองกรรมการผู้จัดการ 3 คนขึ้นมาดูแลโดยตรงในสายธุรกิจพลาสติก ธุรกิจเมลามีน และธุรกิจเทรดดิ้ง จากเดิมที่ตนเป็นผู้ดูแลเองทั้งหมด ทั้งนี้ เพื่อสร้างรายได้และกำไรให้เติบโตขึ้นอย่างมั่นคงและยั่งยืน
ที่ผ่านมา ศรีไทยฯมีอัตรากำไรขั้นต้น(Gross Profit Margin) ค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะธุรกิจพลาสติก มีกำไรขั้นต้นเพียง 10.5% แต่เมื่อตั้งผู้บริหารขึ้นมาดูแลแต่ละกลุ่มโดยเฉพาะ เชื่อว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มขึ้นถึง 15% เพราะจะลดการสูญเสียในขบวนการผลิต รวมทั้งหาตลาดลูกค้าใหม่เพิ่มเติม
"ศรีไทยฯมีความแข็งแกร่งด้านการตลาดไดเร็กต์เซลส์ และการผลิต แต่เราขาดคนจะมาดูแล เทรดดิ้ง เพื่อขยายธุรกิจผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เน้นกลุ่มแม่บ้าน ซึ่งมองว่าธุรกิจนี้จะสร้างรายได้ให้ศรีไทยฯเติบโตขึ้น 15% ในอีก 3 ปีข้างหน้า จากเดิมที่บริษัทฯเติบโตปีละ 5-8% หากบริษัทฯต้องการเติบโต 15%จะต้องใช้เงินลงทุนขยายโรงงานจำนวนมาก ทำให้เราตัดสินใจหันไปทำธุรกิจเทรดดิ้งเพิ่มขึ้น เชื่อว่า ในเวลา 5 ปีข้างหน้า ธุรกิจเทรดดิ้งจะสร้างรายได้ให้ศรีไทยฯ 1,000 ล้านบาท"
นอกจากนี้ จะมีการปิดบริษัทฯย่อยที่สร้างรายได้ต่ำจำนวน 2 บริษัท ทำให้เหลือบริษัทในเครือ เพียง 18 บริษัท และขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมที่จะนำบริษัท ทาคาชิพลาสติก จำกัด และบริษัท ศรีไทยมิยากาวา จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯด้วย
นายสนั่น กล่าวต่อไปว่า บริษัทฯยังมีแผนที่จะใช้ประเทศเวียดนามเป็นฐานการผลิตเมลามีน และพลาสติกในอนาคต เนื่องจากในปีหน้า บริษัทฯจะเพิ่มทุนจดทะเบียนในบริษัท ศรีไทย(เวียดนาม) จำกัด ซึ่งศรีไทยถือหุ้นอยู่ 95% อีก 20 ล้านบาท เพื่อ ตั้งโรงงานผลิตเมลามีน ซึ่งในอนาคตธุรกิจเมลามีนจะไม่มีการขยายในไทย แต่จะหันไปลงทุนเวียดนาม แล้วนำเข้ามาจำหน่ายในไทย เพราะได้สิทธิพิเศษทาง การค้าเกี่ยวกับข้อตกลงเขตการค้า(อาฟตา) รวมไปถึง สินค้าพลาสติกในครัวเรือนที่ศรีไทยฯไม่ได้มีการผลิตในไทยด้วย เนื่องจากเวียดนามมีการเรียกเก็บภาษีนำเข้าวัตถุดิบเพียง 0-5% แต่ไทยต้องเสียภาษีนำเข้าวัตถุดิบ 20% ทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำ
ปัจจุบันศรีไทย (เวียดนาม) มีรายได้ประมาณ 120 ล้านบาท คาดว่าหลังตั้งโรงงานผลิตเมลามีนในเวียดนามแล้ว จะมีรายได้จะเพิ่มขึ้นเป็น 200 ล้านบาท รายได้ปีนี้พลาดเป้าโตแค่ 0.5%
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2548 บริษัทฯคาดว่าจะมีรายได้ 3,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 0.5% ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้เดิมว่าจะมีรายได้ 4.4 พันล้านบาท เนื่องจากต้นทุนพลาสติกปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยที่บริษัทฯไม่สามารถผลักภาระให้ลูกค้าได้ รวมทั้งเศรษฐกิจไทยชะลอตัวลง ทำให้เกรงว่าจะมีปัญหาการเก็บหนี้ จึงไม่สามารถรับการสั่งสินค้า (ออเดอร์)ระยะยาวได้ ดังนั้น บริษัทฯจึงปรับแผนใหม่โดยไม่เน้นเพิ่มรายได้แต่พยายามรักษาอัตรากำไร ไว้เท่าเดิม โดยเชื่อว่าครึ่งปีหลังนี้จะมีผลการดำเนินงานไม่ต่ำกว่าครึ่งปีที่ผ่านมา ที่มีรายได้ 1.8 พันล้านบาท และกำไรสุทธิ 115 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในปี 2549 คาดว่าจะมียอดขายเพิ่มขึ้น 4,286 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนจากพลาสติก 62.3% และเมลามีน 37.7% โดยยอดขายจากเมลามีนจะมีอัตราเติบโตลดลง แต่ธุรกิจพลาสติกจะมีรายได้โตขึ้นมาก เพราะบริษัทจะหันไปผลิตชิ้นส่วนพลาสติก สำหรับยานยนต์เพิ่มขึ้น รวมไปถึงการเพิ่มกำลังการผลิตเปลือกแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์จักรยานยนต์เพิ่มเติมจากเดิมที่ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ขนาดใหญ่ โดยจะร่วมทุนกับAcuma ประเทศอิตาลี ในการทำตลาดแบตเตอรี่รถจักรยานยนต์ที่ยุโรป
นอกจากนี้ บริษัทฯจะผลิตสินค้าใหม่ๆเพิ่มเติม เพื่อรองรับความต้องการของตลาด เช่น พอร์ซเลน ภายใต้ยี่ห้อ มิยาโกะ ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯได้มีการร่วม ทุนกับญี่ปุ่นเพื่อผลิตพอร์ซเลนเพื่อการส่งออกอยู่แล้ว แต่เราเล็งเห็นตลาดในประเทศมีการเติบโตที่ดี จึงได้ ขยายกำลังการผลิตดังกล่าวเพื่อจำหน่ายในประเทศด้วย คาดว่าจะวางตลาดได้พฤศจิกายน 2548 รวมไปถึงการผลิต Material Handling โดยศรีไทยฯได้รับเทคโนโลยีจากบริษัท แซนโกะ ประเทศญี่ปุ่น เพื่อผลิตลังพลาสติกที่ใช้ในโรงงานประกอบรถยนต์ รวมทั้งผลิต Playground ฝาครอบสุขภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและ Bed Sheet ที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ได้ปลายปีนี้
ดังนั้น ในปี 2550-52 บริษัทฯจะมีรายได้เพิ่มขึ้น เป็น 4,900 ล้านบาท 5,600 ล้านบาท และ 6,500 ล้าน บาทตามลำดับ โดยแต่ละปีจะใช้เงินลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทฯมีหนี้สินระยะยาวเหลือ เพียง 425 ล้านบาท โดยสิ้นปีนี้จะมีการจ่ายคืนเงินต้นเหลือเพียง 275 ล้านบาท และปีหน้าคาดว่าจะชำระหนี้คืนทั้งหมดได้ คงเหลือเพียงเงินกู้ระยะสั้นเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน 200 ล้านบาท
สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นภายหลังจากนายสุมิตร เลิศสุมิตรกุล ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้ง และประธานกรรมการบริษัทฯเสียชีวิตไปนั้น คงจะไม่มี อะไรเปลี่ยนแปลง เนื่องจากผู้ถือหุ้นใหญ่ของศรีไทยฯ ยังเป็นตระกูลของอังอุบลกุลและตระกูลเลิศสุมิตรกุล อยู่ โดยหุ้นที่นายสุมิตรถืออยู่ประมาณ 10 กว่าล้าน หุ้นหรือคิดเป็น 5%จะโอนไปให้ทายาท ขณะที่ตนมีหุ้นศรีไทยอยู่ 39 ล้านหุ้นหรือคิดเป็น 10 กว่า %
|