GRAMMY ฉวยโอกาสซื้อหุ้นคืน ช่วงราคาร่วง เมื่อนายอภิรักษ์ โกษะโยธินประกาศลาออก
เมื่อวันที่ 23 กันยายนที่ผ่านมา หลังจากชะลอมากว่า 2 เดือน เพราะรอดูสถานการณ์ราคาหุ้นหลังปรับลดมูลค่าหุ้น
(พาร์) จาก 10 บาทเหลือ 1 บาท โบรกเกอร์แนะให้ลงทุนแบบถือยาว แม้ราคาหุ้นจะแกว่งบ้างในระยะนี้
เชื่อหุ้นปัจจัยพื้นฐานแกร่งและผลประกอบการที่คาดว่าจะออกมาดี ตามการเติบโตของธุรกิจโฆษณาที่ต่อเนื่อง
วานนี้ (24 กันยายน) หุ้นของ บริษัท จี.เอ็ม.เอ็ม. แกรมมี่ จำกัด (มหาชน)
หรือ GRAMMY เปิดตลาดที่ราคา 19.20 บาท ราคาซื้อขายต่ำสุด 16.60 บาท ก่อนปิดตลาดที่
16.80 บาท เปลี่ยนแปลงลดลง 2.30 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 132.18 ล้านบาท
ซึ่งเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2545 GRAMMY ได้ซื้อหุ้นคืนโดยซื้อใน ตลาดหลักทรัพย์จำนวน
2.2 ล้านหุ้น ในราคาสูงสุดหุ้นละ 20.10 บาท และราคาต่ำสุด 19.10 บาท คิดเป็น
มูลค่ารวม 43.234 ล้านบาท และใน วันดังกล่าวราคาหุ้นของ GRAMMY ปรับลดลงจากวันก่อนหน้าส่วนหนึ่ง
เพราะข่าวการลาออกของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ประธานกรรมการบริหาร ของ GRAMMY
ก่อน จะปิดตลาดที่ราคา 19.20 บาท ลดลง 1.30 บาท หรือ 6.34% ด้วยปริมาณการซื้อขายสูงเป็นอันดับสามของตลาด
สำหรับการซื้อหุ้นคืนดังกล่าว คิดเป็นจำนวนรวมของหุ้นที่ซื้อคืนในโครงการจนถึงปัจจุบัน
9.2 ล้านหุ้นหรือ 1.84% ของทุนชำระแล้ว มูลค่ารวม 142.23 ล้านบาท ซึ่งโครงการนี้จะครบกำหนด
2 ตุลาคม 2545 โดยมีระยะเวลาดำเนินการไม่เกิน 6 เดือน ซึ่งคณะกรรมการมีมติให้ซื้อหุ้นคืนเมื่อ
วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2545 โดยจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนสูงสุดตามโครงการคือ
4.50 ล้านหุ้น คิดเป็น 9% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
สำหรับการซื้อหุ้นคืนดังกล่าวเป็นไปตามมติคณะกรรมการบริษัทที่ให้บริษัทดำเนินการซื้อหุ้นคืน
หลังจากที่บริษัทได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างในการบริหารงานและแบ่งงานกันอย่าง
ชัดเจนของแต่ละบริษัทย่อย เพื่อให้เกิดความสะดวกและง่ายต่อการบริหารงานแต่ละสายที่สำคัญเพื่อเตรียมความพร้อมในการนำบริษัทย่อยอื่นๆ
เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ในอนาคตอันใกล้ ซึ่งบริษัท จีเอ็มเอ็มมีเดีย
จำกัดคือรายต่อไปที่จะกระจายหุ้นเพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
การซื้อหุ้นคืนในช่วงนี้ จึงถือว่าเป็นโอกาสดี ของ GRAMMY หลังจากที่บริษัทหยุดซื้อหุ้นคืนตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
และขณะนั้นบริษัทซื้อหุ้นคืนแล้วจำนวน 700,000 หุ้น คิดเป็นวงเงินซื้อคืนประมาณ
100 ล้านบาท และการหยุดดำเนินการประมาณ 2 เดือน เนื่องจากมองว่าหากทำการซื้อหุ้นคืนต่อไป
จะทำให้หุ้นของบริษัทประสบกับภาวะขาดสภาพ คล่องมากเกินไป
ซึ่งบริษัทต้องการดูสภาพคล่องของหุ้น ภายหลังการซื้อขายด้วยมูลค่าที่ตราไว้
(พาร์) ใหม่ ที่เปลี่ยนจากหุ้นละ 10 บาท เป็น 1 บาท หลังจากนั้น จึงจะเริ่มกลับมาซื้อหุ้นคืนอีกครั้งตามนโยบายที่วางไว้
โดย GRAMMY มีวงเงินที่จะใช้ในการซื้อหุ้นเหลืออยู่ 400 ล้านบาท และสามารถซื้อหุ้นคืนได้ถึงเดือนตุลาคมนี้
ซึ่งในการปรับลดราคาพาร์เพราะบริษัทมั่นใจว่าจะทำให้การเคลื่อนไหวหุ้น
GRAMMY มีสภาพคล่องในตลาดหลักทรัพย์ฯมากขึ้น จากเดิมที่หุ้นของบริษัทไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหวมากนัก
เนื่องจากราคาหุ้นมีการเคลื่อนไหวอยู่ในระดับค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับราคาหุ้นส่วนใหญ่ที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นก็มีพื้นฐานดี
บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย) จำกัด แนะ ซื้อ หุ้น GRAMMY เนื่องจากราคาหุ้นตอบรับด้านลบมากเกินไปกับข่าวการลาออกจากตำแหน่งของผู้บริหาร
ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทยังไม่เปลี่ยนแปลง โดย ณ ราคาปัจจุบันมีโอกาสปรับขึ้น
35% จากราคาเหมาะสมที่ 26 บาทต่อหุ้น
และบริษัทยังมีความสามารถในการทำกำไรและศักยภาพในการเติบโต เนื่องจากการขยายตัวแบบก้าวกระโดดของรายได้จากธุรกิจเพลง
หลังจากปรับลดราคาซีดีและวีซีดีตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2544 รวมทั้งนโยบายการกำจัดสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์อย่างจริงจังและต่อเนื่องของรัฐและบริษัทลิขสิทธิ์ผลิตเทปและ
ซีดีจำหน่าย
ในขณะเดียวกันธุรกิจในไต้หวันคาดว่าจะมีผลขาดทุนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากการใช้กลยุทธ์การดำเนินงานแบบระมัดระวังมากขึ้นและมีรายได้
เพิ่มเติมจากการทำธุรกิจอื่น เช่น รับจ้างผลิตมิวสิควิดีโอ และ รายได้จากธุรกิจวิทยุที่เพิ่มขึ้น
เนื่องจากมีการรับรู้รายได้จากสถานีวิทยุแห่งใหม่ที่เริ่มดำเนินการเมื่อเดือนมิถุนายนปี
2544
นอกจากนั้น GRAMMY น่าจะได้รับประโยชน์จากการที่เม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อทีวีและวิทยุในช่วง
8 เดือนแรกของปีนี้ที่เพิ่มขึ้น 9% และ 15% ตามลำดับ จึงน่าจะมีโอกาสในการจ่ายเงินปันผลอีกไม่ต่ำกว่า
2% และในปีหน้าคาดว่าจะปรับเพิ่มอีก ขณะที่บริษัทย่อยคือ จีเอ็มเอ็ม มีเดีย
จำกัด ก็จะเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เร็วๆ นี้ ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้มีรายได้ที่ยังไม่รับรู้
(Unrealized gain) ต่อ GRAMMY ด้วย
ประเมินว่าในปีนี้รายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้น 24% เป็น 5,646 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิเติบโต
ถึง 157% เป็น 514 ล้านบาท ขณะที่หุ้นซื้อขายที่ PER 18.7 เท่าซึ่งนับว่าต่ำเมื่อเทียบกับ
PER เฉลี่ยในอดีตที่ 25.8 เท่า
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์จากบริษัทหลักทรัพย์ธนชาติ จำกัด ให้ความเห็นว่า
แม้ราคา หุ้น GRAMMY จะแกว่งตัวบ้างในวันที่ประกาศ ลาออก ของนายอภิรักษ์
โกษะโยธิน ซึ่งถือเป็น การปรับเปลี่ยนโครงสร้างของบริษัทในระยะนี้ ย่อมให้เกิดความตระหนกกับข่าวที่เกิดขึ้น
แต่ก็ไม่น่าจะส่งผลต่อการดำเนินงานของบริษัทแต่อย่างใด
เนื่องจาก GRAMMY เป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และเป็นตัวหลักของกลุ่มบันเทิงที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเสมอมา
และเชื่อว่าการหานักบริหารมือการตลาดคนใหม่เข้าแทนนายอภิรักษ์ไม่ใช่เรื่องยาก
และยังมีอีกหลายคน ที่มีความสามารถ ขึ้นอยู่กับมติคณะกรรมการบริษัทว่าต้องการเลือกใครเข้ามานั่งบริหารเท่านั้น
ธนชาติเชื่อว่า การที่ผู้บริหารของ GRAMMY ลาออกจากตำแหน่งเพียงคนเดียว
ไม่น่าจะมีผลกระทบต่อราคาหุ้นของ GRAMMY อย่างมีนัยยะ อาจมีการตื่นตระหนกของนักลงทุน
บ้างในวันแรกที่มีข่าวเท่านั้น แต่หลังจากนี้ก็น่าจะเข้าสู่ภาวะปกติ เพราะ
GRAMMY ก็ยังถือว่า เป็นหุ้นนำกลุ่มบันเทิงที่ยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุนเหมือนที่ผ่านมา
ดังนั้น ธนชาติก็ยังแนะนำให้ลงทุนซื้อหุ้นเก็บไว้ระยะยาว เพราะเชื่อว่าผลประกอบการของบริษัทน่าจะออกมาดีอย่างต่อเนื่อง