Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน25 กันยายน 2545
ซื้อวอร์แรนต์ยกล็อต ปลดแอก"หุ้นกรุงไทย"             
 


   
www resources

โฮมเพจ ธนาคารกรุงไทย

   
search resources

ธนาคารกรุงไทย




ผู้ถือหุ้นธนาคารกรุงไทยยอมรับแผนการขจัดอุปสรรคการแปรรูปกรุงไทย ลงมติการขอซื้อวอร์แรนต์คืนจาก กองทุนฯ และดำเนินการล้างขาดทุนสะสมทันทีทั้งจำนวน ส่งผลขาดทุนสะสมเพียง 84 ล้านบาท "วิโรจน์" คาดปีนี้กำไรสุทธิหมื่นล้านบาท ทำให้ภายในปีหน้าจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้

นายศุภชัย พิศิษฐวานิช ประธานกรรมการและประธาน บริหาร ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า วานนี้ (24 ก.ย.) ที่ประชุม วิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1 ธนาคารกรุงไทย ซึ่งมีวาระในการปรับโครงสร้างทุนของธนาคาร ได้ขอมติผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติให้ธนาคารซื้อใบสำคัญแสดงสิทธิ (วอร์แรนต์) จำนวนประมาณ 1,0800 ล้านหน่วย จากกองทุนฟื้นฟูเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ในราคาหน่วยละ 61 สตางค์ รวมเป็นเงิน 6,588 ล้านบาท ซึ่งธนาคาร จะดำเนินการซื้อวอร์แรนต์คืนในครั้งเดียว

ที่ประชุมมีสัดส่วนผู้ถือหุ้นจากกองทุนฟื้นฟูฯ 87.23% หรือคิด เป็นจำนวนหุ้นประมาณ 9,756 ล้านหุ้น กระทรวงการคลังประมาณ 414 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 3.70% ส่วนธนาคารออมสินประมาณ 88 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 0.79% กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ 697 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 6.23% ที่เหลือเป็นผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ รวมทั้งรายย่อย

โดยในวาระดังกล่าวผู้ถือหุ้นของกองทุนฟื้นฟู กระทรวงการคลัง และธนาคารออมสินงดออกเสียง และในที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้มีมติอนุมัติให้ธนาคารซื้อวอร์แรนต์คืนจากกองทุน เป็น จำนวนถึง 90 กว่าเปอร์เซ็นต์

สำหรับวาระที่ 2 เป็นการขออนุมัติให้พิจารณาลดทุนจดทะเบียนของธนาคารโดยการลดหุ้นบุริมสิทธิที่ออกเพื่อรองรับใบสำคัญแสดง สิทธิจำนวน 10,800 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท คิดเป็นเงิน 18,000 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียน เดิมประมาณ 219,969 ล้านบาท คิดเป็น 111,969 ล้านบาท ในการลดทุนจดทะเบียนดังกล่าว เพื่อ เป็นการสอดคล้องกับการยกเลิกใบสำคัญแสดงสิทธิ

นอกจากนี้ ยังขออนุมติในที่ประชุมเพื่อให้ สอดคล้องกับทุนจดทะเบียน จากทุนจดทะเบียน เดิมประมาณ 219,969 ล้านบาท เป็นประมาณ 111,969 ล้านบาท นอกจากนี้ธนาคารก็จะขอมติผู้ถือหุ้น ล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่ประมาณ 76,988 ล้านบาทในปัจจุบัน โดยจะนำทุนสำรองต่างๆ เพื่อ มาลดขาดทุนสะสมของธนาคารในจำนวนดังกลาว

โดยจะนำเงินทุนสำรอง 3 ส่วน คือ 1. เงิน สำรองอื่น ๆ จำนวนประมาณ 1,691 ล้านบาท ซึ่ง เป็นจำนวนที่เหลือหลังจากนำไปใช้ซื้อวอร์แรนต์ 2.เป็นทุนสำรองตามกำหนดหมายจำนวนประมาณ 1,485 ล้านบาท 3.เป็นเงินจากส่วนล้ำมูลค่าหุ้นจำนวนประมาณ 5,079 ล้านบาท ซึ่งจำนวน เงินสำรองทั้ง 3 ส่วนนั้น จะนำมาหักขาดทุนสะสมที่มีอยู่ขณะนี้ทันที จะส่งผลให้ธนาคารเหลือเงินขาดทุนสะสมจำนวนประมาณ 54,331 ล้านบาท

ในจำนวนขาดทุนสะสมที่เหลือดังกล่าว ธนาคารจึงพิจารณขออนุมัติผู้ถือหุ้น ขอลดทุนของธนาคารเพื่อหักขาดทุนสะสมอีกรอบหนึ่ง โดยลดมูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท ลดเหลือ หุ้นละ 5.15 บาท

จากการลดทุนดังกล่าว ขณะนี้ธนาคารมีทุน จดทะบียนจำนวนประมาณ 57,664 ล้านบาท ซึ่ง จากการลดทุนดังกล่าว ทำให้ธนาคารล้างขาดทุน สะสม จากประมาณ 54,331 ล้านบาท เหลือประมาณ 84 ล้านบาท โดยจำนวนดังกล่าวถือว่า เป็นจำนวนล้างทุนสะสมที่น้อยมาก ธนาคามีเป้า จะล้างทุนสะสมให้หมดภายในสิ้นปี สำหรับวาระสุดท้ายธนาคาร ขออนุมติผู้ถือหุ้นออกหุ้นกู้ได้สิทธิวงเงิน ไม่เกิน 1 หมื่นล้านบาท หรือเป็น เงินในสกุลอื่นๆ ได้ในจำนวนที่เทียบเท่าโดยในการขออกหุ้นกู้ได้สิทธิธนาคารได้เตรียมไว้ คาดว่าจะออกในปีหน้าหรืออาจจะไม่จำเป็น เพื่อที่จะให้ธนาคารสามารถขยายสินเชื่อได้ เพราะหุ้นกู้ ดังกล่าวสามารถนำเข้าเป็นเงินกองทุนได้ในส่วนหนึ่ง ภายในปีหน้าธนาคารมั่นใจว่าภาวะเศรษฐกิจ โดยรวม เติบโตได้อย่างต่อเนื่องจึง ต้องเตรียมเงินกองทุนได้ ซึ่งผู้ถือหุ้นก็ได้อนุมติให้ธนาคาร ตามวาระต่างๆ

"การประชุมผู้ถือหุ้นครั้งนี้โดยเฉพาะแผนการรับซื้อวอร์แรนต์จากกองทุนฟื้นฟูช่วยให้หุ้นของธนาคารกรุงไทยที่จะขายภายใต้แผน การแปรรูป ปลายปี 2545 ได้รับความสนใจมาก ขึ้น" นักวิเคราะห์ธนาคารพาณิชย์กล่าว

ขายเฉพาะหุ้นกองทุนฯให้ปชช.

นายวิโรจน์ นวลแข กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ธนาคารมีการขอปรับโครงสร้างดังกล่าว เพื่อเตรียมที่จะดำเนินการแปรรูปธนาคารให้เป็นเอกชน ขณะนี้ที่ปรึกษาทางการเงินกำลังศึกษาถึงแนวทางในการขายหุ้น ในการแปรรูป โดยธนาคารได้คำตอบจากผู้ถือหุ้นแล้วในสัดส่วนที่จะนำออกขายให้กับประชาชน ทั่วไป จะเป็นในส่วนของกองทุนฟื้นฟูเท่านั้น

ส่วนผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ เช่น กระทรวงการคลัง และธนาคารออมสิน ยืนยันกับธนาคารแล้ว ว่า จะไม่ยอมขายในสัดส่วนที่ถือไว้ ซึ่งธนาคาร และที่ปรึกษากำลังดำเนินการที่จะหาจังหวะที่เหมาะสมในการกระจายหุ้นให้กับประชาชน

โดยแผนกำหนดการเดิมจะสามารถกระจายหุ้นได้ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งก่อนที่จะถึงกำหนด ธนาคารจะดำเนินทบทวนแผนดำเนิน ธุรกิจใหม่ 2 รอบ คือ รอบที่ 1 จะดำเนินการทบทวนในเดือนตุลาคม เพื่อพิจารณาดูว่าสถานการณ์ และจังหวะในการแปรรูปเหมาะสมหรือไม่ โดยเฉพาะเศรษฐกิจโลก เรื่องสงครามระหว่างอิรักและสหรัฐอเมริกา หลังจากนั้นจะทำการทบทวนแผนรอบที่ 2 คือ การทำตลาดและโรดโชว์ ในสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนพฤศจิกายน เพื่อกำหนดดีมานด์และซัปพลาย และปริมาณหุ้น ที่สำคัญจะเป็นเรื่องของราคาหุ้นซึ่งธนาคารไม่ต้องการที่จะฝืนตลาด

"หากราคาหรือทิศทางของตลาดทุนไม่เอื้อ อำนวยต้องการที่จะให้กองทุนฟื้นฟูและประชาชน ได้ประโยชน์มากที่สุด ณ ขณะนี้ธนาคารมีความมั่นใจ 100% ที่จะดำเนินการแปรรุปตามแผนเดิม"

สำหรับสัดส่วนที่จะขายให้ประชาชนจำนวน เท่าไหร่นั้น จะต้องมีการดูตลาดอีกระยะหนึ่ง แต่ขณะนี้กฎเกณฑ์ตลาดหลักทรัพย์ต้องการที่จะให้ ผู้ถือหุ้นรายย่อย อยู่ที่ระดับ 15% ขณะนี้ของธนาคารมีอยู่ 7-8% ดังนั้น ควรที่จะมีจำนวน หุ้นหรือรายย่อยอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ไม่ต่ำกว่า 8% ในส่วนความต้องการของธนาคารมีความต้องการให้สัดส่วนดังกล่าวในจำนวนที่มีมาก แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับที่ปรึกษาว่าจะหารือกันอย่างไร "การขอมติผู้ถือหุ้นในครั้งนี้ เพื่อขอซื้อวอร์แรนต์คืนจากกองทุน และดำเนินการล้างขาดทุนสะสมทันที ผู้ถือหุ้นได้อนุมัติเรียบร้อยและ ธนาคารก็จะนำเสนอให้กับกระทรวงการคลังได้พิจารณาอนุมัติในระยะต่อไป" สำหรับตัวเลขขาดทุนสะสมที่เหลืออยู่ 84 ล้านบาท นายวิโรจน์กล่าวว่า ธนาคารจะสามารถ ล้างขาดทุนสะสมได้ภายในสิ้นปีนี้ เนื่องจากธนาคารมีกำไรเฉลี่ยต่อเดือน 1 พันล้านบาท คาดว่าทั้งปี จะมีกำไรสุทธิ 1 หมื่นล้านบาท ดังนั้นเมื่อการล้างขาดทุนสะสมให้หมดสิ้นปีนี้ ภายในปีหน้าหากผลประกอบการของธนาคารมีกำไรสุทธิอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับปีนี้ ธนาคาร ก็จะสามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us