"ทักษิณ" ยืนยันจะลงทุนรถไฟฟ้าในสายสีม่วงต่อ ส่วน สนข.-ร.ฟ.ท.เร่งประมูลสายสีแดง ปีนี้ เตรียมหารือสรุปรายละเอียดการ ก่อสร้างมูลค่าเกือบ 100,000 ล้านบาท คาดแบ่งย่อย 5-6 สัญญาเปิดประมูล เตรียมงบเวนคืน 5,000 ล้านบาท พร้อมเสนอเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสีย รูปแบบระบบบีอาร์ที-ไลท์เรล-เฮฟวี เรล เสนอ "พงษ์ศักดิ์" สัปดาห์หน้า ขณะที่กระทรวงพลังงานชงมาตรการ เสนอทักษิณชี้ขาดวันนี้ (9 ก.ย.) ด้านผู้ค้าน้ำมันค่ายใหญ่เว้นปตท.ดาหน้าขึ้นน้ำมันดีเซล เบนซินวันนี้ 40 สตางค์ต่อลิตร บังคับปิดปั๊มถาวรรวมมินิมาร์ท
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงแผนการลงทุนในโครงการก่อสร้างระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ (mass transit) ทั้ง 7 สายว่า แผนการลงทุนส่วนใหญ่ยังเหมือนเดิม มีเพียงการปรับเล็กน้อยบางส่วน เช่น การวางเส้นทางใหม่เพื่อให้มีการขนส่งผู้ใช้บริการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยรูปแบบการลงทุนจะเป็นระบบรถไฟฟ้าเหมือนเดิม ทั้งแบบลอยฟ้าและใต้ดิน แต่ในส่วนของเส้นทางเชื่อมต่อข้างนอกก็อาจจะปรับขนาดเป็นระบบรถไฟฟ้าขนาดเล็ก (mono rail) และระบบช่องทางด่วนพิเศษหรือรถเมล์ (บีอาร์ที) สำหรับเส้นทางที่คาดว่าจะมีผู้ใช้บริการน้อย แต่หากภายหลังพื้นที่ดังกล่าวมีจำนวน ผู้ใช้จำนวนมากแล้ว ก็จะปรับระบบมา เป็นระบบรางต่อไป
"ตอนนี้ผู้ที่เกี่ยวข้องกำลังศึกษา รายละเอียด โดยภายหลังเดินทางกลับจากประเทศสหรัฐอเมริกาก็จะเรียกประชุมผู้ที่เกี่ยวข้องทันที ซึ่งหาก มีข้อสรุปแบบไหนก็ต้องทำแบบนั้น ทั้งนี้ยืนยันว่าเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาใหญ่ และภายในปีนี้จะต้องเริ่มลงทุนในโครงการเมกะ- โปรเจกต์แล้วเพราะเรื่องนี้รัฐเอาจริงและขีดเส้นตายไว้แล้ว หากมีรัฐมนตรีกระทรวงใดไม่สามารถเปิดประมูลโครงการได้ทันภายในปีนี้ก็จะโดนคาดโทษทันที" นายกรัฐมนตรีกล่าว
พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวต่อไปถึงโครงการรถไฟฟ้า สายสีม่วงว่า (บางซื่อ-บางใหญ่) น่าจะเป็นระบบรถไฟฟ้าจนถึงบางใหญ่ เนื่องจากรัฐบาลมีเป้าหมายที่จะเชื่อมโยงระบบขนส่งมวลชนทั้งกรุงเทพฯและปริมณฑลในทุกๆ 2 ตารางกิโลเมตร
สนข.-ร.ฟ.ท.เตรียมประมูลสายสีแดงทั้งหมด
นายคำรบลักขิ์ สุรัสวดี ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผยว่า ในวันนี้ (9 ก.ย.) จะหารือกับการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เพื่อสรุปรายละเอียดแผนการ ก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดงทั้งหมด ซึ่ง ร.ฟ.ท.เป็นผู้รับผิดชอบงานก่อสร้าง โดยจะเปิดประมูลหาผู้รับเหมาในเส้นทางแรก บางซื่อ-รังสิต ภายในเดือน ธ.ค. นี้ และเริ่มก่อสร้างเดือน มี.ค. 2549 ทั้งนี้ ประเด็นหลักคือจะต้องมีการแบ่งสัญญาการก่อสร้างเป็นสัญญาย่อยเพื่อให้แต่ละสัญญามีมูลค่าโครงการไม่สูง มากเพื่อเปิดกว้างให้ผู้รับเหมาหลายรายเข้ามาร่วมประมูลรวมถึงสรุปกรอบวงเงินค่าก่อสร้าง รายละเอียดการก่อสร้าง เนื่องจากในการออกแบบมีการทำรายละเอียดก่อสร้างไว้หลายส่วน สรุปการว่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง การกำหนดทีโออาร์ เพื่อหาผู้รับเหมา และช่วงระยะเวลาการเปิดขาย ทีโออาร์
โดยรถไฟฟ้าสายสีแดงคาดว่าจะใช้งบประมาณ ในการเวนคืนที่ดินและจัดสรรที่อยู่ใหม่ให้ประชาชนประมาณ 14,000 คน ตลอดสายทางประมาณ 5,000 ล้านบาท ส่วนการก่อสร้างคาดว่าจะแบ่งเป็น 5-6 สัญญาย่อย ได้แก่สัญญาก่อสร้างสาย บางซื่อ-รังสิต ระยะทาง 24.6 กม. มูลค่า 28,474 ล้านบาท สัญญาสายบางซื่อ-ตลิ่งชัน ระยะทาง 14.7 กม. มูลค่า 13,000 ล้านบาท สัญญาสายหัวลำโพง-มหาชัย ระยะทาง 36 กม. มูลค่า 39,356 ล้านบาท สัญญาสถานีรถไฟบางซื่อ มูลค่า 10,000 ล้านบาท และสัญญาสายบางซื่อ-หัวลำโพงและบางซื่อ-มักกะสัน ระยะทาง 18.5 กม. มูลค่า 17,600 ล้านบาท
"แผนเวนคืนจะมีเรื่องการอพยพประชาชนที่อยู่ตามแนวเส้นทางก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดงทั้งหมดด้วย โดยต้องหาที่อยู่อาศัยให้ใหม่ เช่น โครงการบ้านเอื้ออาทร ซึ่งต้องประสานกับการเคหะแห่งชาติ โดยแผนการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดงจะสรุปโดยนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล มว.คมนาคมภายในสัปดาห์หน้า" นายคำรบลักขิ์กล่าว
ส่วนความคืบหน้าในการศึกษารูปแบบการก่อสร้างรถไฟฟ้าโดยเฉพาะเส้นทางสายสีม่วง บางซื่อ-บางใหญ่ และบางซื่อ-ราษฎร์บูรณะ และสายสีส้ม ช่วงบางกะปิ-บางบำหรุนั้น สนข.ได้ศึกษาไว้กว้างๆ 3 รูปแบบ คือรถไฟฟ้าแบบเฮฟวี เรล ซึ่งเป็นรูปแบบเดิม ที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้ออกแบบรายละเอียดก่อสร้างไว้แล้ว รูปแบบต่อมา คือรถไฟฟ้ารางเบา หรือ ไลท์เรล ซึ่งจะรวมรูปแบบรถรถไฟฟ้ารางเดียว หรือโมโนเรลไว้ด้วย และสุดท้าย คือรถเมล์ด่วนพิเศษ หรือบีอาร์ที
"รายละเอียดทั้งหมดนี้ผมจะทำเสนอครอบ คลุมทั้งงบประมาณการก่อสร้าง รูปแบบสถานี ระยะทาง การปรับเปลี่ยนเส้นทาง แล้วเสนอให้ รมว. คมนาคมภายในสัปดาห์หน้าเพื่อตัดสินใจเลือก รูปแบบการก่อสร้าง ส่วนกรอบเวลาการก่อสร้างทุกเส้นทางนั้นยังพยายามให้อยู่ในกรอบเดิม คือ ภายใน 5 ปีส่วนเส้นทางสายสีม่วงนั้นหากปรับเป็นบางใหญ่-บางเขนก็จะทำให้จำนวผู้โดยสารของสายสีแดงเพิ่มขึ้น 3% แต่สายสีน้ำเงินจะลดลง แต่หากใช้เส้นทางเดิม เข้าบางซื่อ ผู้โดยสารสายสีน้ำเงินก็จะมากขึ้น 3% สายสีแดงก็ลดลง ซึ่งไม่มีความแตกต่าง" นายคำรบลักขิ์ กล่าว
สำหรับความแตกต่างของงบประมาณในการก่อสร้างของรถไฟฟ้าทั้ง 3 รูปแบบนั้น หากเลือกก่อสร้างแบบบีอาร์ทีจะมีงบก่อสร้าง 400 ล้านบาทต่อกิโลเมตร เพราะต้องทำเป็นทางยกระดับเพื่อให้มีความเร็ว 30 กม./ชม.เพื่อให้ทดแทนรถไฟฟ้าได้ แต่อาจมีข้อด้อยในกรณีต้องยกระดับสูงถึง 28 เมตรเมื่อผ่านทางแยก และจะเต็มความจุภายใน 10 ปี หากก่อสร้างแบบไลท์เรล งบก่อสร้างอยู่ที่ 800-1,000 ล้านบาทต่อกิโลเมตร ความจุรองรับได้มากกว่า 20 ปี และหากก่อสร้างแบบเฮฟวี เรล ค่าก่อสร้างอยู่ที่ 1,200 ล้านบาทต่อกิโลเมตร
มีรายงานข่าวว่า จากการประเมินจำนวนผู้โดยสารล่าสุดของเส้นทางสายสีม่วง บางใหญ่-บางซื่อนั้นอยู่ที่ 1.5 แสนคนต่อวัน ซึ่งในปี 2547 มีโครงการ ใหม่เกิดขึ้นกว่า 100 โครงการ และการก่อสร้างรถไฟฟ้าจะเป็นนำการขยายตัวของเมือง และการคาดการณ์จำนวนผู้โดยสารเป็นการทำตัวเลขแบบจำลอง ซึ่งผู้โดยสารจริงจะมากหรือน้อยอยู่ที่แนวเส้นทาง และรูปแบบของระบบที่มีความสะดวกมากกว่า ชงมาตรการเสนอทักษิณชี้ขาดวันนี้
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กระทรวงพลังงานจะนำเสนอแนวทางการประหยัดพลังงานต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา วันนี้ (9 ก.ย.) โดยมาตรการที่จะนำเสนอที่สำคัญจะเน้นการประหยัดน้ำมันเป็นหลัก ส่วนการจะกำหนดให้เป็นมาตรการบังคับหรือไม่ขึ้นอยู่กับนโยบายของนายก-รัฐมนตรีจะตัดสินใจ โดยมาตรการที่จะเสนอได้แก่ การปิดปั๊มน้ำมันให้เร็วขึ้นจาก 22.00 น.-05.00 น. เป็น 21.00-05.00 น. โดยจะบังคับให้ปิดทั้งปั๊มและร้านสะดวกซื้อในปั๊ม (มินิมาร์ท)
"ยอมรับว่ามาตรการที่จะบังคับได้ง่ายและทันทีคงมีแต่การปิดปั๊มน้ำมัน ซึ่งมีการศึกษาไว้ที่ 2 ทุ่มกับ 3 ทุ่ม แต่การศึกษาพบว่า 3 ทุ่มจะมีข้อดีกว่าตรงที่ปั๊มจะจ้างงานได้พอดี 2 กะๆ ละ 8 ชั่วโมงและประชาชนจะไม่ได้รับผลกระทบเกินไป แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับนายกฯจะตัดสินใจ ส่วนมาตรการอื่นๆ คงต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาและให้นายกฯ ชี้ขาดว่าจะบังคับหรือไม่" แหล่งข่าวกล่าว
นอกจากนี้ จะเร่งส่งเสริมการใช้ก๊าซ NGV ในรถยนต์และการขนส่ง เช่น การให้กรมขนส่งทางบกกำหนดให้รถแท็กซี่ใหม่ต้องใช้ NGV เท่านั้น จะเปิด ให้ปั๊มอื่นๆ เช่น บางจาก เชลล์ เข้ามาร่วมจำหน่ายก๊าซ NGV ด้วยนอกเหนือจากปตท.เพื่อขยายปั๊มให้มากขึ้น พร้อมกับจะมีการศึกษาถึงความเป็นไปได้ที่จะใช้ท่อน้ำมันของบ.ขนส่งน้ำมันทางท่อหรือ FPT มาขนก๊าซ NGV แทนเนื่องจากต่อไปสนามบินจะย้ายไปอยู่สุวรรณภูมิ ซึ่งจะทำให้ปั๊มบริเวณถนนมักกะสัน- ดอนเมืองจะจำหน่าย NGV ได้มากขึ้นพร้อมกันนี้ยังมีข้อเสนอขอความร่วมมือจากห้างสรรพสินค้า กรุงเทพมหานครที่จะขยายจุดจอดรถแท็กซี่ (Taxi Stand) ให้มากขึ้นพร้อมความร่วมมือจากกรมตำรวจ ที่จะต้องเข้มงวดการจับกุมการขับขี่ในความเร็วที่กำหนด และจัดเขตรถเข้าเมืองจะต้องเน้นคาร์พูลตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปให้มากกว่าเดิม
การให้กระทรวงการคลังพิจารณาปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตรถยนต์ที่มีขนาดเครื่องยนต์สูง พร้อมกับจะเร่งส่งเสริมให้มีการประหยัดพลังงานโดยให้คลังช่วยพิจารณาลดภาษีอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการประหยัดพลังงานโดยรวม และจะกำหนดให้อาคารที่สร้างใหม่จะต้องออกแบบให้มีลักษณะการประหยัด พลังงาน เป็นต้น
ขึ้นน้ำมัน 40 สต.วันนี้รับประหยัด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (8 ก.ย.) ผู้ค้าน้ำมัน ซึ่งประกอบด้วยเชลล์ในประเทศไทย จำกัด บ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทคาลเท็กซ์ ประเทศไทย และบมจ.บางจากได้แจ้งปรับราคาน้ำมัน ขายปลีกเพิ่มอีก 40 สตางค์ต่อลิตรทั้งเบนซินและดีเซลมีผลตั้งแต่วันที่ 9 ก.ย. ส่งผลให้ราคาน้ำมันขายปลีกเบนซิน 95 จะปรับจาก 26.94 บาทต่อลิตร เป็น 27.34 บาทต่อลิตร เบนซิน 91 จาก 26.14 บาทต่อลิตรเป็น 26.54 บาทต่อลิตร ดีเซลจาก 23.39 บาทต่อลิตรเป็น 23.79 บาทต่อลิตรซึ่งเป็นราคาสูงสุดหรือนิวไฮใหม่ทั้ง 2 ชนิด
ทั้งนี้ ผู้ค้าน้ำมันรายหนึ่งระบุว่า แม้ว่าราคาตลาดโลกจะลดต่ำลงแต่ที่ผ่านมาผู้ค้ามีค่าการตลาดตกต่ำโดยเบนซินติดลบ 2 บาทต่อลิตร ดีเซล 1 บาทต่อลิตร ทำให้ผู้ค้าไม่สามารถทนแบกภาระได้โดยเฉพาะเชลล์ที่เป็นผู้ค้าที่ไม่ได้มีธุรกิจการกลั่นแล้ว ปตท.อั้นอีกแล้วแต่ไม่รู้กี่วัน
แหล่งข่าวจาก บมจ. ปตท.จะยังไม่ปรับราคาน้ำมันขายปลีกเพิ่มขึ้นตามผู้ค้ารายอื่นเนื่องจากจะขอรอดูสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดสิงคโปร์อีก 1-2 วันเพราะเห็นว่าทิศทางราคาน้ำมันในขณะนี้ได้เริ่มปรับลดลงอย่างต่อเนื่องมา 2-3 วันแล้ว โดยล่าสุดน้ำมันปิดตลาดสิงคโปร์วันที่ 7 ก.ย.เบนซิน 95 ลดลง 0.72 เหรียญต่อบาร์เรลปิดที่ 84.88 เหรียญต่อบาร์เรล ดีเซลลดลง 0.67 เหรียญต่อบาร์เรลมาอยู่ที่ 75.80 เหรียญต่อบาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบดูไบลดลง 0.70 เหรียญต่อบาร์เรลปิดที่ 56.68 เหรียญต่อบาร์เรล เบรนท์ลดลง 0.58 เหรียญต่อบาร์เรลปิดที่ 63.44 เหรียญต่อบาร์เรล เวสต์เทกซัสลดลง 1.47 เหรียญต่อบาเรลปิดที่ 65.03 เหรียญต่อบาร์เรล
|