การออกจากระบบราชการ กับโครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค มีความคล้ายคลึงกันอยู่ประการหนึ่ง
คือ ความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงระบบการจัดการงบประมาณ ที่เคยใช้อยู่ในโรงพยาบาลใหม่ทั้งหมด
กระบวนการดังกล่าวที่โรงพยาบาลรัฐแต่ละแห่งเคยใช้ ไม่แตกต่างจากหน่วยราชการอื่นๆ
คือ แต่ละปีต้องมีการตั้งโครงการเพื่อเสนอของบประมาณ เมื่อโครงการผ่านการพิจารณาจากต้นสังกัด
ก็เสนอไปยังสำนักงบประมาณ คณะรัฐมนตรี จนกระทั่งถึงสภาผู้แทนราษฎรตามลำดับ
เมื่อได้รับการอนุมัติ โรงพยาบาลก็จะได้รับการจัดสรรงบตามขนาดของโรงพยาบาล
โรงพยาบาลขนาดใหญ่จะได้รับการจัดสรรมากกว่าโรงพยาบาลขนาดเล็ก ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญให้เกิดการกระจุกตัวของผู้เข้ามาใช้บริการ
เพราะโรงพยาบาลขนาดใหญ่ มีโอกาสในการจ้างบุคลากรทางการแพทย์ และเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยมากกว่า
แต่รูปแบบของโครงการ 30 บาท ที่เริ่มใช้เมื่อปีก่อน ได้เปลี่ยนแปลงระบบการจัดการดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง
โดยกำหนดให้ผู้ที่มีสิทธิ์ได้รับการบริการมาขึ้นทะเบียน และได้รับบัตรทอง
ผู้ถือบัตรทองสามารถเลือกโรงพยาบาลที่จะใช้บริการ และโรงพยาบาลที่ถูกเลือกก็จะได้รับการจัดสรรงบประมาณ
ตามจำนวนคนที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้เป็นรายหัว
วิธีการนี้ สามารถแก้ปัญหาการกระจุกตัวในการเข้ารับการรักษาพยาบาล เพราะทำให้โรงพยาบาลขนาดเล็ก
แต่มีคนขึ้นทะเบียนไว้มาก ได้รับจัดสรรงบประมาณเพิ่มขึ้น ขณะเดียว กันโรงพยาบาลขนาดใหญ่
แต่มีคนขึ้นทะเบียนไว้น้อย จะได้รับการจัดสรรงบประมาณน้อยลง
ปี 2544 รัฐบาลจัดสรรงบประมาณให้ในโครงการนี้หัวละ 1,202 บาท ซึ่งหมายความว่าหากมีโรงพยาบาลใดที่มีประชาชนขึ้นทะเบียนไว้จำนวน
1 แสนคน ไม่ว่าจะมีขนาดเล็กหรือใหญ่ โรงพยาบาลนั้นก็จะได้รับการจัดสรรงบประมาณสำหรับโครงการ
30 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 120.2 ล้านบาท
เงินจำนวนนี้ ผู้บริหารของโรงพยาบาล ต้องเป็นคนบริหาร ดูแลค่าใช้จ่ายให้ครอบคลุม
โดยมีเงื่อนไขที่ไม่ให้การรักษาพยาบาลต่ำกว่ามาตรฐาน
แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ระบบการลงบัญชีรายรับรายจ่ายของแต่ละโรงพยาบาลในอดีต
เป็นระบบไม่สะท้อนภาพที่แท้จริงของการดำเนินงาน ผู้บริหารแต่ละโรงพยาบาลจึงไม่มีข้อมูลทางการเงินที่ถูกต้อง
เพียงพอที่จะทำให้การบริหารงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นแพทย์ที่เคยผ่านการศึกษาระดับ
MBA มาแล้ว เขามีความเชื่อว่า แพทย์ทุกคนสามารถเรียนรู้เรื่องการจัดการทางการเงินได้
ไม่แพ้คนที่เรียนจบมาทางด้านการเงินโดยตรง
เขาจึงมีแนวคิดจะยกบทบาทบุคลากรระดับบริหารของแต่ละโรงพยาบาลขึ้น ให้มีหน้าที่ดูแลทางด้านการเงินโดยเฉพาะ
ในลักษณะเดียวกับ CFO (Chief Financial Officer) ของภาคธุรกิจเอกชน
CFO ของโรงพยาบาลตามแนวคิดนี้ ต้องเป็นผู้ที่รับรู้ข้อมูลรายรับรายจ่ายที่เกิดขึ้น
และสามารถนำข้อมูลนี้มาใช้ในการบริหาร โดยการคาดการณ์ความต้องการใช้เงิน
ตลอดจนวิเคราะห์โครงการหากโรงพยาบาลแห่งนั้นจำเป็นต้องมีการลงทุน
และหากโรงพยาบาลใดที่ได้แปรสภาพเป็นองค์การมหาชน CFO ของโรงพยาบาลนั้นก็คือผู้ที่สามารถเจรจาติดต่อกับสถาบัน
การเงินหรือแหล่งเงินทุนที่โรงพยาบาลต้องใช้ได้หากมีความจำเป็น
เป็นบทบาทที่คล้ายกับ นพ.วิทิต อรรถเวชกุล ผู้อำนวยการ รพ.บ้านแพ้ว กำลังแสดงอยู่ในการเจรจาซื้อตึกของ
รพ.เวชสวัสดิ์ จาก บบส.
แนวคิดนี้ได้ถูกนำไปปฏิบัติแล้ว โดยเมื่อประมาณ 2 เดือน ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขได้คัดเลือกตัวแทนจากโรงพยาบาลศูนย์
และโรงพยาบาลประจำอำเภอในจังหวัดต่างๆ จำนวน 90 คน มาเข้ารับการอบรมทางด้านการบัญชีและการเงิน
ที่ปรึกษาในการจัดหลักสูตรการอบรมคือ ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ กรรมการผู้จัดการ
บริษัทหลักทรัพย์แอสเซท พลัส เพื่อนนักเรียนเตรียมอุดมของ นพ.สุรพงษ์ ที่ถูกขอให้มาช่วยงานด้านนี้โดยเฉพาะ
โดยได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และสถาบันพัฒนาการสาธารณสุขอาเซียน
มหาวิทยาลัยมหิดล
จำนวนผู้เข้ารับการอบรม 90 คนแรกนี้ ถือเป็นกลุ่มนำร่อง ตามแผนงานในปีถัดไป
กระทรวงมีโครงการจะนำบุคลากรของโรงพยาบาลในระดับเล็กลงไป เข้ามาฝึกอบรมอีกประมาณ
700 คน และได้มีการตั้งคณะทำงานชุดหนึ่งขึ้นมา เพื่อติดตามผลการปฏิบัติงานของผู้ที่ได้รับการอบรมไปแล้วโดยเฉพาะ
และเพื่อให้บทบาทการทำงานของผู้ที่ถูกวางตัวให้เป็น CFO ของแต่ละโรงพยาบาลนี้สัมฤทธิผล
กระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศปรับเปลี่ยนระบบการลงบัญชีของโรงพยาบาลทุกแห่ง
จากเดิมที่เคยใช้เกณฑ์เงินสด (Cash Basis) มาใช้เป็นเกณฑ์พึงรับพึงจ่าย (Accrual
Basis) ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2545-2546 เป็นต้นไป เพื่อให้ตัวเลขที่ปรากฏในระบบบัญชี
สามารถสะท้อนภาพการทำงานของโรงพยาบาลได้อย่างแท้จริง
ตามเป้าหมายที่ นพ.สุรพงษ์วางไว้ ภายใน 5 ปีนับจากนี้ โรงพยาบาลรัฐทุกแห่งจะต้องมีผู้ช่วยผู้อำนวยการที่ทำหน้าที่เหมือนเป็น
CFO และโรงพยาบาลทุกแห่งน่าจะออกจากระบบราชการ แปรสภาพเป็นองค์การมหาชนได้ทั้งหมด
แต่หากโครงการขยายเครือข่ายของ รพ.บ้านแพ้ว โดยการซื้ออาคาร รพ.เวชสวัสดิ์มาดำเนินการประสบความสำเร็จ
อาจจะเป็นตัวเร่งให้โรงพยาบาลอีกหลายแห่งออกจากระบบ และพัฒนาบุคลากรทางการเงินของตนเองได้เร็วขึ้น