อัจฉริยะทางทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ในรอบหลายร้อยปี
ในระยะหลายร้อยปีที่ผ่านมานี้ มีทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์หลายต่อหลายทฤษฎีที่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว
ได้ส่งอิทธิพลทำให้เราเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อการค้าและตลาด ความคิดในเชิงเศรษฐกิจของอัจฉริยะเหล่านี้
ได้กลายเป็นตัวกำหนดวิถีชีวิตของผู้คน ตลอดจนวิถีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
ผู้แต่งซึ่งเป็นทั้งนักเขียนนิยาย นักเขียนชีวประวัติ และนักประวัติศาสตร์
ได้เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้น โดยรวบรวมประวัติย่อของบรรดาอัจฉริยะทางเศรษฐศาสตร์
และทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่พวกเขาคิดค้นขึ้นตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา จนกลายเป็นหนังสือที่รวบรวมทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์
และข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่สมบูรณ์ที่สุดเล่มหนึ่ง ที่ได้บรรจุเต็มไปด้วยความคิดทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ที่สำคัญที่สุด
ทั้งหมดเท่าที่ได้เคยมีการคิดขึ้นมาในโลก
เมื่อครั้งที่ John von Neumann ได้รู้จักทฤษฎีเศรษฐศาสตร์เป็นครั้งแรกนั้น
เขาได้จัดการแยกส่วนทฤษฎี ซึ่งเป็นพื้นฐานของวิธีคิดทางเศรษฐศาสตร์เหล่านั้นออกเป็นส่วนๆ
ด้วยการทำเช่นนี้ทำให้เขาสามารถคิดค้นทฤษฎี "game theory" ขึ้นมา ทฤษฎีคณิตศาสตร์
"minimax" ของ von Neumann กล่าวว่า "ผู้แข่งขันควรวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวก้าวต่อไปของตนในทุกๆ
ความเป็นไปได้ เพื่อคำนวณว่า ความเคลื่อนไหวใดที่อาจเปิดโอกาสให้คู่แข่งสามารถสร้างความสูญเสียให้แก่เราได้มากที่สุด"
ด้วยแนวทางการคิดแบบนี้ กลยุทธ์ที่ดีที่สุดก็คือ คุณจะต้องเลือกการเคลื่อนไหวที่
"จะก่อความสูญเสียสูงสุดที่น้อยที่สุด" (minimum maximum possible loss)
ด้วยกลยุทธ์นี้ หากคุณต้องแพ้ก็ไม่เจ็บปวดมากนัก
ในปี 1943 เมื่อทฤษฎี game theory ของ von Neumann ได้มารวมเข้ากับความคิดของ
Oskar Morgenstern ก็ได้ก่อกำเนิดหนังสือหนา 600 หน้าชื่อ Theory of Games
and Economic Behavior ขึ้น
หนังสือหนาหนักเล่มนี้ ได้ขยายขอบเขตการประยุกต์ใช้ทฤษฎี game theory ออกไปอย่างกว้างขวาง
จากการลดการสูญเสียของธุรกิจให้มากที่สุด ไปสู่พฤติกรรมทางเศรษฐกิจของบริษัทที่แข่งขันในตลาดเปิด
รวมไปถึงทางเลือกของผู้บริโภค
ทฤษฎีของอัจฉริยะทั้ง 2 คนนี้ ได้อธิบายองค์ประกอบสำคัญของ zero-sum games
(สถานการณ์ที่มีผู้ชนะกับผู้แพ้) และ non-zero-sum games (สถานการณ์ที่ชนะทั้ง
2 ฝ่ายหรือแพ้ทั้ง 2 ฝ่าย)
Dr. Strangelove ตัวจริง
นอกจาก von Neumann ซึ่งผู้แต่งระบุว่า คือต้นแบบของตัวเอกในหนังของผู้กำกับ
Stanley Kubrick เรื่อง Dr. Strangelove แล้ว ก็ยังมีอัจฉริยะทางเศรษฐศาสตร์อีกมากมายที่ถูกกล่าวถึงในหนังสือเล่มนี้
Luca Pacioli เป็นพระที่นำวิธีการลงบัญชีระบบบัญชีคู่มาใช้ จนได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วยุโรปในช่วงปลายทศวรรษ
1400
เขาน่าจะเป็นอาจารย์สอนคณิตศาสตร์ให้แก่ Leonardo da Vinci ด้วย ผู้เชี่ยวชาญหลายคนลงความเห็นว่า
การที่ Pacioli ทำให้เทคนิคการลงบัญชีระบบบัญชีคู่ได้รับความนิยมไปทั่วยุโรปช่วงยุค
Renaissance นั้น อาจถือได้ว่า เป็นต้นกำเนิดของระบบทุนนิยม
ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจโลกคงจะไม่สมบูรณ์หากขาด John Graunt ผู้แนะนำให้โลกได้รู้จักความสำคัญของสถิติ
ซึ่งทำให้เขากลายเป็นบิดาของวิชาการสถิติ อันเป็น "ข้อเท็จจริงซึ่งเป็นรากฐานของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์"
เพื่อนของ Graunt คือ Sir William Petty ก็เป็นอัจฉริยะของความคิดเชิงเศรษฐกิจอีกคนหนึ่งในหนังสือเล่มนี้
เขาเป็นคนแรกที่คิดว่า เงินคือวิธีการใช้อำนาจและวิธีส่งเสริมศีลธรรม
บุรุษผู้ร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์โลก
John Law เป็นอัจฉริยะของทฤษฎีเศรษฐกิจคนแรก ที่ได้ควบคุมความเป็นไปของประเทศทั้งประเทศ
เมื่อเขาได้ครอบครองฝรั่งเศสในช่วงต้นทศวรรษ 1700 เขาอาจเป็นบุรุษผู้ร่ำรวยที่สุดในประวัติศาสตร์โลก
เพราะเป็นเจ้าของธนาคารกลางฝรั่งเศส ซึ่งครอบครองอาณาเขตทั้งหมดของ French
Louisiana (ซึ่งมีพื้นที่เกือบ 1 ใน 3 ของอาณาเขตของประเทศสหรัฐฯ ในปัจจุบัน)
เขายังเป็นคนแรกที่เสนอความคิดให้รัฐบาลออก credit note "โดยอิงกับความสามารถในการระดมเงินในอนาคตของรัฐบาล
เช่น รายได้จากการจัดเก็บภาษี" ซึ่งได้กลายเป็นแนวคิดในการออกธนบัตรหรือเงินกระดาษที่เราใช้กันอยู่จนถึงทุกวันนี้
อัจฉริยะในยุคหลังๆ ที่เราค่อนข้างรู้จักกันดีก็ถูกรวบรวมประวัติและความคิดไว้ในหนังสือเล่มนี้ด้วยเช่นกัน
เช่น Karl Marx ผู้นำทฤษฎีเศรษฐกิจมาใช้กับสังคมในวงกว้าง John Maynard Keynes
นักคิดทางเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษ ผู้ที่ในปี 1919 ได้รับยกย่องเป็น "เทพพยากรณ์ทางเศรษฐศาสตร์"
และ John Nash เจ้าของรางวัลโนเบลเศรษฐศาสตร์