Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ ตุลาคม 2545








 
นิตยสารผู้จัดการ ตุลาคม 2545
คลื่นลูกที่สอง สำรวจกรณีการย้ายฐาน การผลิตของญี่ปุ่นเข้ามาในไทย             
โดย ภัชราพร ช้างแก้ว
 





ความสำเร็จของสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในการนำคณะทำงานด้านการค้าการลงทุนและการท่องเที่ยวไปเยือนญี่ปุ่น โดยมีเป้าหมายชักชวนนักลงทุนญี่ปุ่นให้เดินทางเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มมากขึ้น เป็นความสำเร็จที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง

สื่อต่างชาติบอกว่าไทยจะได้รับประโยชน์อย่างมากจากคลื่นการย้ายฐานการผลิตรอบที่ 2 ของญี่ปุ่น เหตุที่ญี่ปุ่นต้องขยายการลงทุนในต่างประเทศอีกระลอกนั้นมีอยู่ด้วยกันหลายประการ แรกสุดเพราะญี่ปุ่นไม่สามารถจ้างแรงงานราคาแพงในประเทศตนทำการผลิตได้อีกต่อไป ขณะที่ประเทศคู่แข่งสำคัญอย่างเกาหลีใต้และไต้หวัน ก็มีการขยับขยายส่งออกฐานการผลิตไปอยู่ต่างประเทศด้วยเช่นกัน

โดยประเทศที่กำลังเป็นแหล่งดูดนักลงทุนต่างประเทศในตอนนี้คือจีน แต่กิจการญี่ปุ่นหลายแห่งยังเลือกลงทุนในไทยอยู่ โดยในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ ตัวเลขการลงทุนจากต่างประเทศโดยตรงในไทยเพิ่มขึ้นถึง 79% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา หรือคิดเป็นมูลค่าโดยรวมเกือบ 2,000 ล้านเหรียญสำหรับโครงการลงทุนใหม่ และ 2 ใน 3 ของจำนวนเงินลงทุนนี้มาจากนักลงทุนญี่ปุ่นโดยส่วนใหญ่จะลงทุนในอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรและอะไหล่รถยนต์ นับแต่ต้นปีเรื่อยมา (ม.ค.-ก.ค.2545) การลงทุนโดยตรงของญี่ปุ่นในไทยเพิ่มขึ้นถึง 45% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา

อันที่จริงญี่ปุ่นลงทุนโดยตรงในต่างประเทศน้อยลง โดยในปีที่แล้ว FDI ลดลงถึง 26% ซึ่งสหรัฐฯ เป็นประเทศที่ญี่ปุ่นลดการลงทุน FDI ลงมากที่สุดในปีที่แล้ว คือหดตัวถึง 40% แต่การลงทุนโดยตรงในเอเชียกลับเพิ่มขึ้นเกือบ 20% นำโดยมูลค่าการลงทุนของญี่ปุ่นในจีนที่เพิ่มขึ้น 64% หรือคิดเป็นมูลค่า 180.2 พันล้านเยน เทียบกับในไทย ญี่ปุ่นมาลงทุนโดยตรงคิดเป็นมูลค่า 110.2 พันล้านเยน

แต่เมื่อเร็วๆ นี้ เจโทรสำรวจพบว่าไทยมีความน่าลงทุนแซงหน้าจีนไปแล้ว โดยเฉพาะในกลุ่มบริษัทข้ามชาติรายใหญ่ของญี่ปุ่น มีความพอใจมาตรฐานการลงทุนสำคัญๆ ของไทยหลายประการ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน ความชำนาญทางเทคนิคของบุคลากรคนไทย คุณภาพวิศวกรไทย อุตสาหกรรมสนับสนุน และความโปร่งใสในกฎหมายที่เกี่ยวกับการลงทุนต่างๆ ขณะที่พวกเขามองว่าจีนมีความได้เปรียบไทย ในแง่ของขนาดตลาดภายในประเทศที่ใหญ่มากและต้นทุนสินค้าที่ต่ำเท่านั้น

ภาคอุตสาหกรรมที่ไทยมีความได้เปรียบอย่างเด่นชัดกว่าจีนคือ อุตสาหกรรมยานยนต์ ตั้งแต่ต้นปีมาแล้ว บริษัทอีซูซุมอเตอร์ประกาศย้ายฐานการผลิตรถปิกอัพจากญี่ปุ่นเข้ามาในไทย และในเร็วๆ นี้บริษัท โตโยต้าก็จะประกาศแผนการลงทุนครั้งสำคัญ ส่วนฮอนด้าประกาศไปแล้วว่าจะผลิตรถยนต์ "ซิตี้" ในไทยในปีหน้า และมิตซูบิชิ ซึ่งร่วมมือกับเดมเลอร์ไครสเลอร์ก็ประกาศไปเมื่อเร็วๆ นี้ว่าจะพัฒนารถยนต์โมเดลใหม่ในไทย

นอกเหนือจากข้อได้เปรียบที่กล่าวข้างต้นแล้ว ญี่ปุ่นยังสนใจลงทุนในไทยด้วยเหตุผลที่ว่า อยากจะบาลานซ์น้ำหนักการลงทุนในจีนไม่ให้มีมากเกินไปด้วย ในทำนองว่าเอาไข่ไปใส่ตะกร้าใบอื่นๆ บ้าง ไม่ใช่ใส่ไว้ในจีนมากจนเกินไป นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นศึกษาได้ให้ความเห็นสอดคล้องกันอีกว่า ญี่ปุ่นไม่อยากจะสูญเสียเทคโนโลยีบางอย่างที่คิดค้นขึ้นได้ หากไปลงทุนในจีนโอกาสที่จะถูกลอกเลียน หรือพัฒนาเทคโนโลยีตามทันนั้นมีสูงมาก ดูอย่างอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าตอนนี้ จีนผลิตได้เองเกือบทุกอย่างและยังมีเอกชนรายใหญ่ในจีนอย่างบริษัท Haier เกิดขึ้น ญี่ปุ่นหรือเกาหลีแทบจะไม่มีช่องทางแข่งขันได้เลย

บริษัท Haier นั้นเจ้าของเติบโตมาจากกิจการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าในห้องแถว ขยายตัวรวดเร็วมาก จนมีโรงงานในสหรัฐฯและยุโรป รวมทั้งเริ่มส่งสินค้าเข้ามาขายในไทยบ้างแล้ว ว่ากันว่าเจ้าของกิจการมีเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว ใช้เดินทางเข้าร่วมประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีนด้วย

นอกจากนี้ กิจการมอเตอร์ไซค์ของญี่ปุ่นในจีน ก็กำลังเป็นเรื่องราวฟ้องร้องผู้ผลิตมอเตอร์ไซค์จีนเป็นข่าวชิ้นโตทีเดียว เพราะผู้ผลิตจีนสามารถผลิตชิ้นส่วนอะไหล่ได้เท่าทันผู้ผลิตญี่ปุ่น ยกเว้นเพียง 6 ชิ้นที่ไม่สามารถทำได้ ดังนั้นผู้บริโภคจีนจึงซื้ออะไหล่แท้ 6 ชิ้นนั้นมาเปลี่ยนในรถมอเตอร์ ไซค์ที่ผลิตเอง แล้วตั้งชื่อคล้ายคลึงกันคือ HOMMA ขายในราคาต่ำกว่า ได้รับความนิยมเป็นอย่างดี

เจอแบบนี้นักลงทุนญี่ปุ่นแทบกระอักเลยทีเดียว ดังนั้น ในการกรีธาทัพเข้ามาลงทุนในไทยระลอก 2 ครั้งนี้ นักลงทุนญี่ปุ่นจึงให้ความสำคัญกับ การได้รับความคุ้มครองในเรื่องลิขสิทธิ์และสิทธิบัตรต่างๆ เป็นอย่างมาก ซึ่งทางการไทยก็ยินยอมตาม ดังจะสังเกตได้ว่า เนวิน ชิดชอบ และสุวรรณ วลัยเสถียร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ผู้ดูแลเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา ได้เข้าร่วมคณะเจรจาของรองฯ สมคิดไปญี่ปุ่นในครั้งนี้ด้วย

สมพงษ์ วนาภา เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ ได้บอกกับผู้เขียนว่าการขยายการลงทุนของญี่ปุ่นในไทยระลอกนี้ จะมีลักษณะพิเศษกว่าเดิมคือกิจการขนาดเล็ก (SME) ของญี่ปุ่นจะเดินทางเข้ามาลงทุนในไทยด้วย โดยเฉพาะกิจการผลิตชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ ซึ่งผู้ผลิตชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ไทยที่เป็น SME ก็มีอยู่เป็นจำนวนมากเช่นกัน หากญี่ปุ่นเข้ามาจริง จะไม่เกิดผลประโยชน์ขัดแย้งหรือ

ในประเด็นนี้สมพงษ์อธิบายว่าจะพยายามให้เกิดการประสานประโยชน์ให้ได้ "เราต้องลดความขัดแย้งและส่งเสริมให้เขาอยู่ร่วมกันให้ได้... โดยสนับสนุนให้ผลิตอะไหล่ตัวใดตัวหนึ่งซัปพลายผู้ผลิตได้หลายยี่ห้อ SME ญี่ปุ่นที่เข้ามานี้ไม่ว่ารูปแบบใดรูปแบบหนึ่งก็ต้องเข้ามาเชื่อมโยงกับ SME ไทยด้วย ไม่ใช่เข้ามาแล้วเดี่ยวไม่เกี่ยวข้องกับเรา ซึ่งอย่างนี้เราไม่ชอบ การเชื่อมโยงสัมพันธ์กันนี้ก็จะช่วยทางด้านเทคโนโลยีต่างๆ แก่เรา"

สมพงษ์สะท้อนว่า จากการจัดสัมมนาร่วมกับผู้ลงทุนญี่ปุ่นทำให้ทราบว่า นอกจากเรื่องการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาแล้ว ญี่ปุ่นยังต้องการบุคลากรระดับกลางที่มีความรู้ทางบัญชี การบริหารจัดการ เพราะหากให้นักลงทุนญี่ปุ่นไปตั้งฐานการผลิตในเขตส่งเสริมบีโอไอในต่างจังหวัดนั้น พวกเขาจะประสบปัญหาเรื่องบุคลากรอย่างแน่นอน ซึ่งทางการไทยก็ยินดีส่งเสริมด้านนี้โดยให้สถานศึกษาท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินการ

นักลงทุนญี่ปุ่นต้องชอบใจที่ไทยตอบสนองการลงทุนในทุกเรื่องเป็นอย่างดี และยังไม่ต้องห่วงกับการที่จะมีคนวิ่งไล่ทันเทคโนโลยีหรือลอกเลียนแบบพวกเขา เพราะทางการไทยรับรองให้ความคุ้มครองในเรื่องนี้อยู่แล้ว

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us