ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ธนาคารไทยอยู่ในช่วงอุดมคติที่ว่างเปล่า
ธนาคารไทยอุบัติขึ้นอย่าง จริงจังและเป็นรูปร่างเชิงอุดมคติครั้งแรกในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
เพื่อสนับสนุนการค้าส่งออกของกลุ่มตนเอง เจ้าของธุรกิจ ส่งออกสินค้าพืชไร่
ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของไทยในยุคนั้น ล้วนอยู่ในเครือข่ายเจ้าของธุรกิจธนาคาร
ซึ่งเข้ามาทดแทนธนาคารอาณานิคมที่ถอนตัวออกไปในช่วงครามโลกครั้งที่สอง
เมื่อธุรกิจที่แวดล้อมธนาคารเติบโตขึ้นเป็นแกนของสังคมธุรกิจไทย ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองประมาณ
2 ทศวรรษ เข้าสู่การผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า ธุรกิจแกนกลางของไทย มีความสุขที่เป็นส่วนหนึ่งของความเติบโตของธุรกิจข้ามชาติที่ขยายอิทธิพลอย่างมาก
ในช่วงสงครามเวียดนามเข้ามาในภูมิภาคนี้ รวมทั้งประเทศไทย ธนาคารไทยก็สนับสนุนเครือข่ายธุรกิจนั้นเป็นช่วงๆ
มา มีพัฒนาการ มีบุคลิกแตกต่างกัน
อย่างไรเสีย อุดมคติที่ชัดเจนของธนาคารไทย คือสนับสนุนธุรกิจรายใหญ่ที่เริ่มจากครอบครัวเดี่ยว
จนกลายเป็นเครือข่ายพันธมิตร สนับสนุนการสร้างเครือข่ายธุรกิจขนาดใหญ่ ก็เกิดขึ้น
มีรูปร่างชัดเจนมากขึ้น ยิ่งเมื่อธนาคารกลายเป็นสัญลักษณ์ของสังคมธุรกิจไทย
ภายใต้ปรัชญาธนาคารล้มไม่ได้ ยิ่ง เท่ากับเป็นการยอมรับว่า ไม่เพียงธนาคารเท่านั้นที่สนับสนุนผู้ประกอบการรายใหญ่
เครือข่ายธุรกิจขนาดใหญ่เท่านั้น สังคมไทยยอมรับและสนับสนุนสิ่งนั้นด้วย
จนกลายเป็นโมเดลของเศรษฐกิจไทย ว่า ไปแล้วเป็นภาพสะท้อนของอิทธิพลธนาคารไทยที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์
อิทธิพลอย่างสูงนี้ ไม่มีใครคาดคิดว่าจะถูกทำลายได้โดยง่าย
ในปี 2540 ธนาคารไทยผ่านการคัดเลือกอย่างโหดร้าย ธนาคารไทยหลายแห่งต้องปิดกิจการไป
พร้อมกับบทบาทธนาคารไทยแบบเดิมหมดไป ท่ามกลางวิกฤติ การณ์ทางเศรษฐกิจครั้งร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งของสังคมไทย
ไม่เพียงเท่านั้น ธนาคารหลายแห่งล้มลง พร้อมๆ กับการทำให้เครือข่ายธุรกิจบางแห่งที่ยึดโมเดลแวดล้อม
ธนาคารอย่างเหนียวแน่นบางเครือข่ายล้มลงไปด้วย
ความจริงธนาคารไทยมีความสั่นคลอนมาก่อนหน้านั้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตขึ้นของตลาดหุ้น
บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้ามามีบทบาทมากขึ้นของธนาคารระดับโลก
เป็นครั้งแรกที่เครือข่ายธุรกิจใหม่เกิดขึ้นได้ โดยไม่ยึดถือโมเดลเดิมที่พยายามเข้าสู่วงโคจรแวดล้อมธนาคารได้บ้างแล้ว
สิ่งแวดล้อมที่คุกคามธนาคารไทยครั้งนั้น ส่งผลให้ผู้บริหารธนาคารบางส่วนเริ่มปรับตัวก่อนวิกฤติการณ์บ้างเหมือนกัน
โดยเฉพาะบทบาทของธนาคารกสิกรไทย ภายใต้การนำของผู้นำคนใหม่ บัณฑูร ล่ำซำ
ซึ่งเข้ามาบริหารธนาคาร ต่อจากยุครุ่งเรืองที่สุดของบิดา นั่นคือกระบวนการปรับตัวธนาคารในเชิงเทคนิค
ในเชิงโนว์ฮาว โดยศึกษาแบบอย่างจากตะวันตก เป็นการปรับตัวเพื่อสร้างประสิทธิภาพในการบริการ
มิใช่การปรับตัวในเชิงอุดมคติของธนาคารไทยแต่อย่างใดไม่ ซึ่งต้องยอมรับว่าขณะนั้นโมเดลธุรกิจมีความหลากหลายมากขึ้นจากเดิม
ว่าไปแล้ว กระบวนการปรับปรุงประสิทธิภาพธนาคาร ภายใต้แนวคิดการบริหาร ธุรกิจสมัยใหม่
ที่กลายเป็นแนวทางหลักของธนาคารในยุคหัวเลี้ยวหัวต่อ ในยุคที่ไม่มีอุดมคติเช่นแต่ก่อนในปัจจุบัน
นับว่าเป็นประโยชน์ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทในการทำลายความเทอะทะ ความไม่มีประสิทธิภาพ
คนล้นงาน โดยเฉพาะปรับความคิดในเรื่องการบริการลูกค้า ฯลฯ อันเกิดขึ้นและสะสมมาจากระบบธนาคารไทยเก่า
ที่คุ้มครองโดยอุดมคติการสนับสนุนรายใหญ่ได้ไม่น้อยเช่นกัน
การศึกษาและปรับตัวตามแนวทางธนาคารระดับโลกอย่างเข้มข้น เกิดขึ้นอย่างเป็นกระบวนการของธนาคารไทย
โดยเฉพาะการใช้เงินซื้อเทคโนโลยีสมัยใหม่ การจ้างที่ปรึกษาจากตะวันตก ด้วยการลงทุนมากที่สุดในระบบธุรกิจไทยเลยทีเดียวในช่วง
5 ปีที่ผ่านมา โดยแลกกับระบบธนาคารใหม่ที่ไม่ผูกติดกับเครือข่ายทางภูมิศาสตร์เดิม
ที่ใช้สาขาเป็นแกนในการขยายตัวทางธุรกิจ ซึ่งดำเนินมาอย่างเข้มข้นและดุเดือด
ตั้งแต่ปี 2500 เป็นต้นมา
ผมถือว่าธนาคารไทยในปัจจุบัน เป็นธุรกิจที่มีการปรับตัวมากที่สุด จากระดับโครงสร้างจนถึงรูปแบบของธุรกิจ
ซึ่งเป็นธุรกิจเดียวที่ปรับตัวรุนแรงที่สุด อันเป็นผลมาจากวิกฤติการณ์เศรษฐกิจ
ระบบธนาคารใหม่ได้สร้างจุดบริการได้เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว สร้างบริการให้ความสะดวกกับลูกค้า
เมื่อเปรียบเทียบกับการบริหารสาขาในยุคก่อน ว่าไปแล้ว เป็นการลงทุนเมื่อเปรียบเทียบกับเครือข่ายสาขา
แล้ว ในระยะยาวถือว่าคุ้มค่ากว่า ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงการปรับโครงสร้างธุรกิจที่เทอะทะ
จำนวนพนักงานมากเกินไป ก็นับว่าการปรับตัวเชิงเทคนิคที่น่าสนใจ ประการสำคัญในประวัติศาสตร์ธนาคารไทย
การสร้างจุดบริการที่หลากหลาย โดยใช้ระบบสื่อสารแบบใหม่ โดยรวมถือเป็นการสร้างเครือข่ายธนาคารที่นับว่าทรงประสิทธิภาพมาก
เมื่อเปรียบเทียบกับธนาคารระดับโลกในประเทศไทย ถือว่าเป็นช่วงประวัติศาสตร์ของการทำงานหนักของผู้บริหารธนาคาร
ที่สามารถปรับความคิดในเชิง คุณภาพอย่างมาก ภายในช่วงเวลาที่ไม่ยาวนานนัก
ที่ใครเคยบอกว่าธุรกิจขนาดใหญ่อย่างธนาคารไทย จะปรับตัวได้ยากนั้น เห็นจะไม่จริงเสียแล้ว
ในยามนี้
อย่างไรก็ตาม บุคลิกความเป็นธนาคารไทย ซึ่งยังถกเถียงกันมากว่า จะมีมูลค่าเพิ่มอย่างไรหรือไม่
เมื่อเปรียบเทียบกับธนาคารระดับโลกที่อยู่ในเมืองไทย การพังทลายความคิดใช้สาขากับการใช้เทคโนโลยีใหม่
มีความหมายเชิงยุทธศาสตร์หนึ่ง ก็คือ ความใหญ่ที่มีความผันแปรตามสาขานั้น
จะไม่มีความหมายอีกต่อไป แนวทางนี้เท่ากับเอื้อให้ธนาคารระดับ โลกในประเทศไทยโดยตรง
เนื่องจากยุทธศาสตร์ใหม่ ที่ว่าด้วยการใช้เทคโนโลยีสร้างจุดบริการของธนาคารไทยในปัจจุบัน
ก็คือ แนวทางที่เข้าทางของ ธนาคารระดับโลกนั่นเอง
คำถามที่น่าสนใจมากในขณะนี้ น่าจะอยู่ที่ธนาคารไทยจะสร้างโมเดลของตนเอง
มีคุณค่าของความเป็นธนาคารท้องถิ่นอย่างไร หรือว่าไม่มี หรือว่าไม่มีแรงจูงใจที่จะสร้างขึ้น
ดูความเชื่อของนักธนาคารยุคปัจจุบันที่ว่า "ความเป็นธนาคารท้องถิ่นนั้น มีคุณค่าที่บางมาก"
จะมีอิทธิพลอย่างมาก
ผมคิดว่า มี แม้ว่าจะดูเหมือนน้อยมาก แต่หากเราไม่คิดจะสร้างโอกาสเช่นนั้น
โอกาสของธนาคารไทยจะคงอยู่ในระบบธนาคารระดับโลก แม้ ในประเทศไทยก็คงเหลือไว้แต่ชื่อ
ซึ่งไม่มีบุคลิกเฉพาะ ไม่มีอุดมคติที่สอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาระบบเศรษฐกิจไทยเลยเช่นในอดีต
แม้จะมองว่าแนวทางในอดีตนั้นมีปัญหามากก็ตาม
จึงถือว่าน่าเสียดาย