Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ ตุลาคม 2545








 
นิตยสารผู้จัดการ ตุลาคม 2545
ตีป่าล้อมเมือง             
โดย ฐิติเมธ โภคชัย
 


   
search resources

ไมด้า แอสเซ็ท, บมจ.
กมล เอี้ยวศิวิกูล




ไมด้า แอสเซ็ท เป็นชื่อที่คนเมืองไม่ค่อยรู้จัก
แต่หากเป็นผู้ที่อยู่อาศัยตามชนบทห่างไกลมักจะคุ้นเคย
และชาวนาชาวไร่บางคนกลายเป็นลูกค้าของบริษัทแห่งนี้ไปแล้ว

ในฐานะที่เป็นบริษัทเช่าซื้อเครื่องใช้ ไฟฟ้าสัญชาติไทยไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถเป็นขวัญใจลูกค้าตามแถบชนบทได้สมบูรณ์ แบบตลอดระยะเวลาหนึ่งทศวรรษ ทั้งๆ ที่ ต้องเผชิญกับคู่แข่งสำคัญอย่างซิงเกอร์ หรือกลยุทธ์การตลาดเชิงรุกของ บมจ.อิออน ธนสินทรัพย์ หรือแม้แต่ Easy Buy และ First Choice

อย่างไรก็ตาม ครั้งหนึ่งไมด้าได้รับความสนใจจากอิออนหลังจากที่ขวัญชัย โหมดประดิษฐ์ กรรมการและผู้บริหารระดับสูงชาวญี่ปุ่นเดินทางมายังสำนักงานใหญ่ของไมด้า ซึ่งตั้งอยู่เยื้องๆ โรงพยาบาลยันฮีบนถนนจรัญสนิทวงศ์

เช่นเดียวกับกมล เอี้ยวศิวิกุล ในฐานะกรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้งไมด้า เคยได้รับเชิญจากผู้บริหารอิออนในฐานะแขกพิเศษ แต่การพบกันของทั้งสองฝ่ายเป็นในระดับแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเท่านั้น

"ดูตามโครงสร้างทางธุรกิจแล้วไม่น่ามีความเป็นไปได้ถึงขั้นควบรวมกิจการ" กมลบอกกับ "ผู้จัดการ" อิออนมีศักยภาพแข็งแกร่งและสามารถขยายตัวได้ อีกทั้งการทำงานแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง"

กลุ่มลูกค้าของอิออนและคู่แข่งรายอื่นๆ ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มีรายได้ค่อนข้างสูงและอาศัยในชุมชนเมือง ขณะที่ไมด้ามีฐานลูกค้าต่างจังหวัดและเน้นเข้าไปถึงตามตำบล หมู่บ้านถือเป็นกลุ่มเป้าหมายที่คู่แข่งไม่สามารถเข้าถึงได้ในปัจจุบัน

"พวกเราทำงานหนัก เพราะต้องเดินเข้าหาลูกค้าไม่ใช่ให้พวกเขาเดินมาหา"

นอกจากนี้ความแตกต่างที่เห็นอย่าง ชัดเจน ก็คือ ไมด้าใช้ระบบใหม่เข้ามาดำเนินกิจการเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยเฉพาะระยะเวลาการผ่อนชำระเฉลี่ยแล้วนานถึง 18 เดือน ขณะที่คู่แข่งให้ลูกค้าผ่อนชำระเฉลี่ยประมาณ 6-10 เดือน

กลยุทธ์ของไมด้าที่ดูเหมือนจะให้โอกาสต่อลูกค้าอย่างมาก แต่ความจริงพบว่า พวกเขาหลีกเลี่ยงข้อจำกัดด้านศักยภาพในการผ่อนชำระ ซึ่งบางครั้งในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันลูกค้าตามชนบทไม่สามารถผ่อนชำระด้วยเม็ดเงินที่สูง

กระนั้นก็ดี การให้ลูกค้าผ่อนชำระเวลานานๆ หมายถึงไมด้าต้องรับความเสี่ยงเอง อันเนื่องจากฐานรายได้ลูกค้าอยู่ในระดับต่ำ แต่โดยพฤติกรรมที่บริษัทมองเห็นกลับพบว่าลูกค้าส่วนใหญ่มีวินัยในการผ่อนชำระ ดังนั้นระดับหนี้เสีย หรือ NPLs ที่เกิดขึ้นอยู่ในระดับ 2.5%

นอกจากนี้ไมด้ายังนำระบบการตรวจสอบที่เชื่อว่าดีที่สุดเข้ามาจัดการกับปัญหา ด้วยการแยกพนักงานแต่ละส่วนออกจากกันโดยสิ้นเชิง "พนักงานขายก็ขายไป จากนั้นจะมีแผนกตรวจสอบสินเชื่อไปดูแล เมื่อถึงกำหนดชำระเงินเป็นหน้าที่พนักงานเก็บเงิน" กมลอธิบาย "ขณะที่ระบบของคู่แข่งส่วนใหญ่พนักงานคนเดียวจะทำหน้าที่ทั้งหมด ซึ่งเป็นวิธีการที่เหมาะสำหรับธุรกิจเช่าซื้อเมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว"

อีกทั้งยังมีเอกลักษณ์การคัดเลือกลูกค้าเฉพาะที่แตกต่างไปจากวิธีการของคู่แข่ง ซึ่งเน้นลูกค้าเขตชุมชนเมืองที่พิจารณา สินเชื่อด้วยการอิงตามเอกสารเป็นสำคัญ เช่น ใบรับรองเงินเดือน สลิปเงินเดือน บัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน เบอร์โทรศัพท์ติดต่อสะดวก หากขาดคุณสมบัติข้อใดบริษัทเช่าซื้ออาจจะปฏิเสธการปล่อยสินเชื่อ

ขณะที่วิธีการของไมด้าเอกสารดังกล่าวไม่เป็นอุปสรรคต่อการอนุมัติสินเชื่อ เพราะปัจจัยหลักจะดูที่อุปนิสัย รายได้ที่สม่ำเสมอ หรือบางรายอาจจะมีรายได้ไม่แน่นอนแต่มีอาชีพที่ชัดเจน อาทิ ชาวไร่ ชาวนา ที่มีรายได้ตามฤดูกาลเก็บเกี่ยว ก็สามารถเป็นลูกค้าได้

"เป็นหน้าที่ของพวกเราในการปรับสภาพการผ่อนชำระ ดังนั้นพนักงานค่อนข้างใกล้ชิดกับลูกค้า และส่วนใหญ่เป็นคนในท้องถิ่นนั้นๆ" กมลบอก

ดังนั้น หากพิจารณากันจริงๆ แล้ว แทบจะไม่มีคู่แข่งที่ทำธุรกิจเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบเชิงลึกเหมือนกับไมด้า แม้แต่คู่แข่งท้องถิ่นซึ่งมักจะเน้นลูกค้าในเขตเทศบาล "พวกเราจึงเป็นตัวกลางในการนำสินค้าไปเสนอถึงตำบลและหมู่บ้านต่างๆ ทั่วประเทศ"

เมื่อเป็นเช่นนี้กมลจึงมีความเชื่อมั่นต่ออัตราการเติบโตที่ต่อเนื่อง สังเกตได้จากปีที่ผ่านมามียอดขายประมาณ 600 ล้านบาท ขณะที่ปีนี้จนถึงเดือนกรกฎาคมทำยอดขายไปแล้ว 1,500 ล้านบาท คาดว่าสิ้นปีตัวเลขจะทะลุ 2,000 ล้านบาท อันเนื่องจากการขยายสาขาออกไปอย่างต่อเนื่องจนวันนี้มีถึง 121 แห่งทั่วประเทศ โดย มีพนักงานทั้งสิ้น 4,000 คน และครึ่งหนึ่งในจำนวนนี้เป็นพนักงานขาย

มีคำถามเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยระดับ 2.5% ต่อเดือนที่ไมด้าเรียกเก็บจากลูกค้าซึ่งสูงกว่าคู่แข่งที่อยู่ในระดับประมาณ 1.5% มีความยุติธรรมหรือไม่ ซึ่ง "ผู้จัดการ" อดแปลกใจไม่ได้ แต่เมื่อมองตัวเลขฐานลูกค้า ณ ปัจจุบัน พบว่ามีสูงถึง 2 แสนราย ในจำนวนนี้ 40% คือลูกค้าประจำ ที่สำคัญบริษัทมีฐานข้อมูลลูกค้าอยู่ในมือถึง 2 ล้านราย

"อัตราดอกเบี้ยของเราไม่มีต้นทุนแอบแฝง" กมลกล่าว "แต่ตัวเลขของคู่แข่ง ลูกค้าต้องเดินทางไปชำระด้วยตัวเอง เช่น ชำระที่เคาน์เตอร์เซอร์วิสต้องเสียค่าธรรมเนียม 10 บาท ถ้าไปจ่ายที่บริษัทไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม แต่มีต้นทุนอื่น เช่น ค่าเดินทาง"

ขณะที่ไมด้าจะมีพนักงานไปเก็บเงินถึงบ้าน อีกทั้งหากสินค้าชำรุดจะมีพนักงานซ่อมบริการถึงบ้านเช่นเดียวกัน "ถ้าเป็นลูกค้าของคู่แข่งพวกเขาต้องยกสินค้าไปซ่อมตามศูนย์บริการเอง" กมลชี้

เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่น่าแปลกใจหากพิจารณาถึงตัวเลขยอดขายของไมด้า และถือเป็นอัตราการเติบโตระดับปกติในสายตาของกมล เพราะระดับอัตราดอกเบี้ยเป็นตัวสนับสนุนที่ดี

ประกอบกับไมด้าให้ลูกค้าเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเกือบทุกประเภทและทุกยี่ห้อ ส่งผลให้พวกเขามีพลังการต่อรองด้านราคาต่อซัปพลายเออร์เหล่านั้น คือ สามารถซื้อสินค้าได้ในราคาต่ำกว่าตลาดประมาณ 7% ส่งผลให้กำไรสุทธิที่บริษัททำได้สูงถึง 15% ของยอดขาย

กระนั้นก็ดี อุปสรรคในขณะนี้ของไมด้า คือ ขาดแหล่งเงินทุนสำหรับการขยายกิจการ แม้ว่าจะได้รับการสนับสนุนวงเงินกู้จากธนาคารกสิกรไทย และส่วนหนึ่งมาจากผู้ถือหุ้น แต่ด้วยเป้าหมายเชิงรุกภายใต้การบริหารงานของกมล ทางออกที่ดีและเหมาะสมที่สุดคือ จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

"หากดูสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันที่กำลังฟื้นตัวประกอบกับอัตราว่างงานลดลง น่าจะเป็นสิ่งที่สามารถเพิ่มฐานลูกค้าได้ง่าย หมายถึงบริษัทกำลังต้องการเม็ดเงิน เพื่อขยายงาน"

นอกจากเป้าหมายการขยายสาขา และต้องการเพิ่มสินค้า โดยเมื่อต้นปีที่ผ่าน มาทดลองขายเฟอร์นิเจอร์ อีกทั้งยังมีแผนการนำจักรยานยนต์มาให้บริการ แต่อาจจะเป็นรูปเป็นร่างหลังจากกลายเป็นบริษัทมหาชนแล้ว

ไมด้า แอสเซ็ท ก่อตั้งขึ้นในปี 2534 โดยกมล เอี้ยวศิวิกุล ซึ่งเริ่มต้นจากธุรกิจขายเงินสดเป็นหลักและปล่อยเช่าซื้อบ้าง หลังจากนั้นไม่นานธุรกิจเช่าซื้อทำกำไรได้มากเขาจึงให้ความสำคัญมากขึ้น จนกระทั่ง เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจขายเงินสดได้หยุด กิจการลง

นอกจากนี้กมลยังถือหุ้นประมาณ 25% ในพานาเชน และไดสตาร์เชน ที่ดำเนินธุรกิจเช่าซื้อร่วมกับ บงล.ซิทก้า และมหานครทรัสต์ ที่ทั้งสองถือหุ้นร่วมกันประมาณ 35% และเขายังเป็นกรรมการ ผู้จัดการด้วย แต่เมื่อวิกฤติเศรษฐกิจโจมตีในปี 2540 สถาบันการเงินทั้งสองแห่งปิดกิจการ พานาเชน และไดสตาร์เชน ไม่สามารถดำเนินงานต่อไปได้กมลจึงขายหุ้น ทั้งหมดแล้วมาทำงานที่ไมด้าอย่างเต็มตัว

ปัจจุบันไมด้าถือหุ้นใหญ่โดยกลุ่มตระกูลเอี้ยวศิวิกุล 52% เฉพาะกมลเพียงคนเดียวถือหุ้นสูงสุด 29.06% ถัดมาเป็นธเนศ ดิลกศักยวิทูร 18.50% และหลังเข้าตลาดฯ ตระกูลเอี้ยวศิวิกุลจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงประมาณ 20%

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us