Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ ตุลาคม 2545








 
นิตยสารผู้จัดการ ตุลาคม 2545
บ้านเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์จากอดีต สู่...ปัจจุบัน             
โดย อรวรรณ บัณฑิตกุล
 





บ้านของเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ สามัญชนที่ทำคุณประโยชน์ให้แผ่นดิน เมื่อ 100 ปีก่อน ได้กลายเป็นที่ทำการของศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรตุลาการที่มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ของบ้านเมืองในปัจจุบัน

เจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ ชื่อเดิมว่า พุ่ม ศรีไชยันต์ ได้เข้ารับราชการเป็นมหาดเล็ก ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว สมัยเมื่อครั้งยังเป็นนายพุ่มนั้นท่านมีบ้านเป็นเรือนแพ ตามวิถีชีวิตของสามัญชนทั่วไป ต่อมาเมื่อได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้รื้อเรือนแพสองหลังแฝดย้ายไปปลูกกุฏิถวายพระสงฆ์ไว้ ณ พระอารามวัดทองธรรมชาติ ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา และเตรียมไปปลูก บ้านใหม่ในที่ดินริมคลองโอ่งอ่าง

ในช่วงเวลานั้น อิทธิพลของสถาปัตยกรรมตะวันตกได้เข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตของชาวไทยอย่างมาก ทั้งนี้เนื่องจากการเสด็จประพาสประเทศใกล้เคียง และประเทศยุโรปของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระองค์ได้นำเอาแบบอย่างของงานสถาปัตยกรรมตะวันตกมาประยุกต์ใช้กับบ้านเมือง เพื่อแสดงถึงความเจริญรุ่งเรือง รวมทั้งนำช่างต่างประเทศมาก่อสร้างพระราชวัง จนเป็นแบบอย่างให้พระบรมวงศานุวงศ์ ขุนนาง คหบดี และราษฎรสามัญชนทั่วไปนำไปก่อสร้างวัง หรือบ้านเรือน

บ้านใหม่ของเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ จึงถูกก่อสร้างตามแบบสถาปัตยกรรมตะวันตก ซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยนั้น เป็นงานในยุคเรอเนซองส์ของอิตาลี เป็นรูปแบบที่มีแนวทางของ Andrea Palladio และ Vignola

สถาปนิกที่มีชื่อเสียงชาวอิตาลี ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 16 โดยใช้สถาปนิกชาวต่างชาติมาทำการออกแบบ (จากหนังสือที่ระลึกเนื่องในพิธีเปิดศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2543)

การวางตำแหน่งด้านหน้าและทางเข้าของบ้าน ให้ความสำคัญกับเส้นทางคมนาคมทางน้ำ คือ คลองโอ่งอ่าง มีเรือนพักอาศัยใหญ่อยู่ 1 หลัง อยู่ด้านทิศใต้ และเรือนบริวารอยู่ทางทิศเหนือ เรือนบริวารเหล่านี้ ภายหลังถูกรื้อทิ้งและสร้างเป็นกระทรวงธรรมการ

รูปทรงของบ้านเป็นเรือนก่อ 3 ชั้น มีลักษณะเด่นคือ การแบ่งช่องประตูหน้าต่างออกเป็น 3 ช่อง มีส่วนสูงมากกว่าส่วนกว้าง เหนือช่องประตูหน้าต่างเป็น รูปโค้งครึ่งวงกลม มีลูกกรงระเบียงโปร่ง เป็นปูนปั้น ลูกมะหวด เป็นต้น

หลังคาเป็นทรงปั้นหยา 4 ด้าน หันหลังชนกัน ชายคายื่นออกไปไม่มากนัก ความลาดเอียงของหลังคาประมาณ 45 องศา เพื่ออวดผืนกระเบื้องหลังคาซึ่งเป็นกระเบื้องว่าว หรือกระเบื้องซีเมนต์รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใหญ่สีแดง ตัดกับ สีปูนน้ำอ้อยของผนังบ้าน ใต้ชายคาตีเกล็ดไม้สักชนชิด ซุ้มโค้งเหนือประตูหน้าต่าง ทำเป็นลายรัศมีอย่างง่ายๆ หรือลายเรขาคณิต

ภายหลังเมื่อเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ถึงแก่อสัญกรรม บ้านหลังนี้ตกอยู่ในความปกครองของกรมพระคลังข้างที่ ซึ่งมีหน้าที่ดูแลทรัพย์สินส่วนพระองค์และทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติ ตลอดจนทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

ในปี พ.ศ.2445 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชานุญาตให้กรมพระคลังข้างที่ขายบ้านหลังนี้แก่กระทรวงมหาดไทย ที่ต้องการซื้อเพื่อไว้เป็นที่พักแขกเมืองรวมเป็นเงิน 124,758 บาท (ข้อมูลจากหอจดหมายเหตุ แห่งชาติ)

ในปี พ.ศ.2452 กระทรวงธรรมการ ได้ย้ายจากพระราชวังบวรสถานมงคล (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งโรงละครแห่งชาติ) ไปอยู่ ณ บ้านเจ้าพระยารัตนา ธิเบศร์ และในปี พ.ศ.2463-2465 ได้ทำการรื้อเรือนบริวารด้านหลังแล้วสร้างตึกที่ทำการใหม่อีก 3 ชั้น เชื่อมต่อกับตัวบ้านหลังเดิม โดยอาคารใหม่มีความกลมกลืนกับบ้านหลังเดิมมากที่สุด

บ้านเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ทั้งที่เป็นบ้านเดิม กับอาคารที่ก่อสร้างต่อเติมได้ใช้เป็นที่ทำการของกระทรวงธรรมการ จนถึงวันที่ 24 มิถุนายน 2483 หลังจากนั้นได้ใช้เป็นที่ทำการของกรมเกษตรการประมง และสำนักงานเกษตร กรุงเทพมหานคร

ในเดือนมิถุนายน 2542 ได้มีการปรับปรุงซ่อมแซมบ้านเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ และกระทรวงธรรมการอีกครั้ง ใช้งบประมาณทั้งสิ้นประมาณ 141 ล้านบาท เพื่อเป็นที่ทำการของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ มีการซ่อมแซมส่วนหลักๆ เช่น การซ่อมแซมโครงสร้างหลังคา และเปลี่ยนกระเบื้องมุงหลังคาใหม่โดยยังคงลักษณะและสีเช่นเดียวกับของเดิม การซ่อมแซมทั้งภายในภายนอก การเปลี่ยนประตูหน้าต่างที่ชำรุด การวางสายไฟฟ้าใต้ดินและการวางระบบสุขาภิบาลใหม่หมด

แบ่งพื้นที่ในอาคารออกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนแรกบ้านเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์เดิม ได้ปรับปรุงเป็นที่ทำงานของประธานศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้บริหารศาลรัฐธรรมนูญ

ส่วนที่ 2 อาคารกระทรวงธรรมการเดิม ได้ปรับปรุงเป็นที่ทำงานของข้าราชการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ

การตกแต่งภายในอาคารทั้ง 2 หลังนี้ ยังคงยึดรูปแบบโบราณตาม สถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตกผสมผสานกับสถาปัตยกรรมไทย วัสดุที่ใช้ยังคงเป็นไม้สักเกือบทั้งหมด

ประมาณเดือนกันยายน พ.ศ.2543 ศาลรัฐธรรมนูญได้ย้ายเข้ามาทำงานในสถานที่ที่เป็นอาคารเก่าแก่ ที่เต็มไปด้วยความสวยงามของงานด้านสถาปัตยกรรม ซึ่งได้ปรับปรุงให้มีสภาพคงเดิม และเหมาะสมกับการใช้งานในปัจจุบัน และที่สำคัญสถานที่แห่งนี้ยังทำให้ผู้คนได้ระลึก ถึงเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ ผู้เป็นสามัญชนที่ทำคุณประโยชน์ต่อแผ่นดินไทย ผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้อีกด้วย

บ้านเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ได้รับการขึ้นทะเบียนโบราณสถาน เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2531 และได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่น ประเภท สถานที่ราชการ จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ.2545

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us