ภาพของผู้ชายอารมณ์ดี ที่ปรากฏบนแผ่นฟล์มนั้น
ดูแล้วไม่แตกต่างกับงานจำนวนมากที่ถ่ายทอดลงบนผืนผ้าใบ เพราะล้วนบ่งบอกถึงความสดใส
สนุกสนานไม่แพ้กัน
"ไม่ใช่ผมเศร้าไม่เป็นนะครับ ผมก็เศร้าเป็น ทุกข์เป็น ครอบครัว ของผมเมื่อวัยเด็ก
ก็ไม่ใช่ครอบครัวที่อบอุ่นอะไรนัก แต่ผมมีสวิตช์ปิดเปิด ความรู้สึกได้ ผมก็เลยเลือกที่จะกดปุ่มเปิดอารมณ์ที่แจ่มใส
อารมณ์ที่ดี ปิดสวิตช์ไอ้ความรู้สึกแย่ๆ ซะ แล้วเอาพลังทั้งหมดที่ได้มาใช้ทำงาน
แล้ว ก็สอนวาดรูป ผมก็เลยมีความสุข"
ชลิต นาคพะวัน เอ่ยกับ "ผู้จัดการ" เพราะเมื่อเราย่างเท้าก้าวไปสู่บ้านที่เป็นแกลลอรี่หลังสวย
ในซอยอรรถวิมล นั้น ชั้นล่างจะพบภาพวาดรูปหัวใจสีชมพู บนแผ่นเฟรมขนาด ใหญ่
170 x 190 เซนติเมตร และภาพวาดรูปหัวใจขนาดรองๆ ลงมา วางเรียงรายอยู่ทั่วห้อง
ซึ่งเป็นภาพส่วนหนึ่งของการแสดงผลงานชุด "สุดที่รัก" ที่หอศิลป์ตาดู เมื่อเดือนเมษายน
ปีที่ผ่านมา
ส่วนงานชิ้นอื่นๆ ก็เต็มไปด้วยสีสันและจินตนาการที่สดใส ซึ่งเขาบอกว่าเป็นแรงบันดาลใจมาจากการเห็นภาพเขียนของเด็กๆ
งานของเขาส่วนใหญ่จะเป็นเทคนิคผสม ของ สีอะครีลิก สีน้ำมัน ยางพารา และแป้งฝุ่น
มีการสร้างระดับผิวหน้าภาพที่หนาเตอะ สะท้อนภาพความซับซ้อนของเส้นสี และรูปทรงต่างๆ
อย่างอิสระ
ชลิต นาคพะวัน หรือ "ชลิต กลิ่นสี" เป็นฉายาที่ได้สมัยเล่นภาพยนตร์ไทยของเปี๊ยก
โปสเตอร์ เรื่อง กลิ่นสีและ กาวแป้ง และเป็นตัวประกอบอารมณ์ดีในภาพยนตร์หลายๆ
เรื่องในเวลาต่อมา พร้อมๆ กับการทำงานด้านศิลปะมาอย่าง ต่อเนื่องกว่า 10
ปี ดังนั้นเขาจึงมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในประเภทของคนดัง หรือดาราเขียนรูปแน่นอน
จากเด็กหนุ่มชาวอัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ที่ชอบเรียนวาดรูป และมักทำคะแนนได้ดีในชั่วโมงศิลปะ
เข้ามาศึกษาต่อด้านช่างศิลป์ และเอนทรานซ์ติดคณะจิตรกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร
ได้มีโอกาสแสดงภาพยนตร์ เฮฮาปาร์ตี้อยู่พักหนึ่ง พร้อมๆ กับการเปิดสอนวาดรูป
ที่บ้านเก่าย่านบางพลัด โดยเริ่มจากลูกหลานของพรรคพวกเพื่อนฝูง รวมทั้งได้ไปสอนจริงจังอยู่ที่สมาคมฝรั่งเศสประมาณ
1 ปี
เมื่อสองปีที่ผ่านมา เขามีโอกาสเข้ามาทานอาหารในร้านๆ หนึ่ง ในซอยอรรถวิมล
แล้วมาพบบ้านหลังนี้เข้าในสภาพที่รกร้าง ต้นไม้ปกคลุมดูรกรุงรังไปหมด เพราะเจ้าของบ้านทิ้งไว้ไม่ได้เข้ามาดูนานหลายปี
แต่ยังเห็นรูปทรงของบ้านเก่าที่มีร่องรอยของความสวยงาม พื้นที่ภายในแต่ละห้องกว้าง
โปร่งโล่ง ภายนอกยังมีที่ว่างปลูกต้นไม้ เป็นบ้านเก่าใจกลางเมืองที่การคมนาคมสะดวก
และยังสามารถแปรเปลี่ยนทำกิจกรรมต่างๆ ได้หลากหลาย ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะเช่าเพื่อทำเป็นโรงเรียน
และแกลลอรี่ของตัวเองทันที
ในที่สุด บ้านหลังสีขาวที่มีสนามหญ้าสีเขียวหลังนี้ ก็ถูกปรับปรุงและเปิดเป็น
"Chalit Art Project & Gallery" ทุกวันเสาร์ อาทิตย์ จะมีเสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กๆ
ที่เข้ามาเรียนศิลปะ ส่วนวันพุธเป็นวันที่นักเรียนผู้ใหญ่จะแวะเวียนกันมาตามเวลาสะดวก
ในขณะที่วันจันทร์ อังคาร เจ้าของบ้านจะให้เวลากับการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะใหม่ๆ
ของตนเองอย่างเต็มที่
เทคนิคการสอนของชลิต ได้มาจากประสบการณ์ที่ตกผลึกของตนเอง และสรุปออกมาเป็นแนวทางว่า
ควรจะมีวิธีการสอนอย่างไร เขาเล่าว่าเมื่อลูกศิษย์เข้ามาสมัครก็จะพูดคุยกันก่อน
แล้วค่อยสังเกตและศึกษาว่า คนคนนี้น่าจะชอบงานแบบไหน ในชั่วโมงแรกๆ อาจจะลองให้ทำงานหลายๆ
อย่างก่อน เมื่อพบว่าลูกศิษย์ชอบและถนัดงานประเภทไหน ก็เน้นหนักสอนไปทางด้านนั้น
ทำอย่างไรให้คนเรียนชอบ ทำอย่างไรให้คนเรียนมีความสุขที่สุด คือโจทย์ที่เขาคอยหาคำตอบอยู่ตลอดเวลา
และด้วยนิสัยที่ชอบคลุกคลีกับเด็กๆ ชอบดูงานศิลปะเด็กและเรียนรู้เรื่องความคิดของเด็ก
ผนวกกับความเป็นคนที่ร่ำรวยอารมณ์ขัน ทำให้เขาเริ่มสนุกกับการสอน จนปัจจุบันมีลูกศิษย์ในวัยเด็กประมาณ
20 คน จนต้องมีครูผู้ช่วยอีก 2 คน
เด็กๆ จะเรียนวันเสาร์ อาทิตย์ ผู้ใหญ่จะมาเรียนวันพุธ หลักสูตรทั้งหมด
30 ครั้ง ครั้งละอย่างน้อย 3 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ ค่าสอนของผู้ใหญ่ 7,500
บาท ต่อ 1 หลักสูตร ค่าสอนของเด็ก 4,500 บาท
บ้านหลังนี้ต้องปรับปรุงอีกมาก อาจจะต้องติดแอร์ในห้องทำงานชั้นบน เพื่อเป็นที่ฉายหนัง
ฉายสไลด์ ในชั่วโมงทฤษฎีของเด็กๆ แล้วตัวเองย้ายมาทำงานที่ลานบ้านข้างล่าง
ทุกวันนี้ชลิตมีลูกศิษย์อายุตั้งแต่ 3 ขวบไปจนถึงวัย 50-60 ปี เป็นชีวิตในวัย
38 ปีอีกแบบหนึ่งที่มีความสุข และน่าจะลงตัว โดยที่ ตัวเองยังมีเวลาทำงานศิลปะ
วาดภาพประกอบนิตยสาร และเขียนหนังสืออีกด้วยเขามีจุดมุ่งหมายว่าจะตั้งใจสร้างผลงานดีๆ
ออกมาเรื่อยๆ เพราะเชื่อมั่นในสัจธรรมที่ว่าเมื่อตั้งใจจะทำงานสร้างสรรค์ดีๆ
การยอมรับจะได้มาเอง
ปลายปีนี้ จะมีงานใหญ่อีกชิ้นหนึ่ง ที่จะพิสูจน์ตัวตน และความตั้งใจจริง
ของชลิต นาคพะวัน ในผลงานที่ชื่อ "Scar Teach You"