Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน30 สิงหาคม 2548
สุขภัณฑ์ "สตาร์" ระดมทุนใช้หนี้             
 


   
www resources

โฮมเพจ สตาร์ ซานิทารี่แวร์

   
search resources

Sanitary Wares
สตาร์ ซานิทารี่แวร์, บมจ.




สุขภัณฑ์ "สตาร์" กระจายหุ้นใน ตลาดเอ็มไอเอ 122.8 ล้านบาท พร้อมเตรียมชำระหนี้สถาบันการเงิน 100 ล้านบาท จากหนี้สินรวม 200 ล้านบาท หวังลดต้นทุนเงินกู้และดอกเบี้ยจ่าย มั่นใจหลังชำระหนี้ กด D/E เหลือ 0.7 เท่าจากเดิม 3 เท่า มั่นใจช่วยเพิ่มอัตรากำไรสุทธิเป็น 21% จากเดิม 19% พร้อมขยายสัดส่วนส่งออกเพิ่มจาก 70% เป็น 75% หลังขยายกำลังผลิตเป็น 12,230 ตันต่อปี

นายสมชัย ว่องอรุณ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท สตาร์ ซานิทารีแวร์ จำกัด (มหาชน) (Star) ผู้ผลิตสุขภัณฑ์ส่งออกและขายในประเทศ ภายใต้ แบรนด์ สตาร์ เปิดเผยว่า ณ ไตรมาส 1 ของปี 2548 นี้ บริษัทมีหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 3 เท่า โดยบริษัทมีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิจากยอดขายเพียง 19% ในขณะที่อัตราการเติบโตของกำไรเบื้องต้นสูงถึง 49% ซึ่งการที่อัตรากำไรสุทธิของบริษัทมีอยู่ค่อนข้างต่ำแม้ว่าจะมีอัตรากำไรเบื้องต้นที่สูง เนื่องมาจากต้องนำกำไรจากการขายส่วนหนึ่งมาจ่ายหนี้ที่เกิดจากดอกเบี้ยเงินกู้ของบริษัท โดยในปัจจุบันบริษัทมีหนี้ อยู่ 200 ล้านบาทจากการกู้เงินสถาบันการเงินเพื่อ ใช้เป็นสภาพคล่องในการบริหารงานและการลงทุนของบริษัท

ทั้งนี้ บริษัทมีแผนที่จะขายเพิ่มทุน (IPO) ในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอในวันที่ 15 กันยายน นี้ จำนวน 36 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 26.47% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท และจะทำให้บริษัทมีเงินที่จะได้รับจากการระดมทุนจำนวน 122.8 ล้านบาท และมีรายได้จากส่วนล้ำมูลค่าหุ้นประมาณ 98 ล้านบาท โดยในการระดมทุนครั้งนี้บริษัทมีแผนที่จะนำเงินจำนวนดังกล่าวมาใช้ชำระหนี้ 100 ล้านบาท จากหนี้สินรวมของบริษัท 200 ล้านบาท โดยจะช่วยให้บริษัทมีต้นทุนจากเงินกู้และดอกเบี้ยลดลง ซึ่งจะมีผลทำให้อัตราหนี้สินต่อทุนของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ 0.7 เท่าในปลายปีนี้หลังจากที่มีการชำระหนี้สถาบันการเงินแล้ว และจะทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 21%

ส่วนเงินที่เหลือจากการระดมทุนอีก 22.8 ล้านบาท บริษัทจะนำไปใช้ในการขยายโรงงานเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีก 3,000 ตันต่อปี ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 9,230 ตันต่อปี หลังจากขยายกำลังการผลิตแล้วจะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 12,230 ตันต่อปี สำหรับการขยายกำลังการผลิตนี้คาดว่าจะใช้เงินทุนในการซื้อเครื่องจักร และอุปกรณ์ใหม่จำนวน 60 ล้านบาทโดยงบลงทุนส่วนที่เกินจาก 22.8 ล้านบาทนั้น บริษัท จะใช้เงินในสภาพคล่องของบริษัทเพิ่มเข้าไป โดยคาดว่าบริษัทจะสามารถเริ่มดำเนินการผลิตได้ประมาณต้นปี 2549

นายสมชัยกล่าวว่า ในปีที่ผ่านมาบริษัทมี ยอดขายรวม 285 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 38 ล้าน บาท ส่วนในไตรมาสแรกของปี 48 นี้บริษัทมียอดขายแล้ว 85 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 16 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตของกำไรเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2547 ประมาณ 21% สำหรับยอดขายทั้งปีของปี 48 นี้บริษัทคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นจากปี 47 ประมาณ 15-25% ซึ่งอัตราการเติบโตที่คาดว่าเพิ่มขึ้นของยอดขายในปีนี้ มีสาเหตุมาจากยอดสั่งซื้อจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นและการปรับขึ้นราคาขายของสินค้า ซึ่งในช่วงที่ ผ่านมาบริษัทมีการปรับขึ้นราคาขายสินค้าไปแล้ว 7-8%

ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิต 9,230 ตันต่อปี แบ่งเป็นการจำหน่ายในตลาดส่งออก 70-80% โดยส่งออกไปประเทศอังกฤษเป็นอันดับ 1 ประมาณ 40% ตลาดญี่ปุ่น 20% และตลาดสหรัฐอเมริกา 10% ส่วนที่เหลือเป็นการส่งออกในภูมิภาคเอเชีย ส่วนการจำหน่ายในประเทศมีสัดส่วนประมาณ 20-30% โดยในส่วนของกำลังการผลิตทั้งหมดนี้เป็นการรับจ้างผลิตสินค้าให้แบรนด์อื่นในประเทศ 30% และส่งออก 70%

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่มีการเพิ่มกำลังการผลิตจาก 9,230 ตันต่อปีเป็น 12,230 ตันต่อปีแล้วบริษัทจะปรับเพิ่มสัดส่วนการส่งออกเป็น 75% และจำหน่ายในประเทศเป็น 25% ทั้งการที่บริษัทหันไปเพิ่มสัดส่วนในการส่งออกมากขึ้นเนื่องจากอัตรากำไรตอบแทนจากการส่งออกมีสูงกว่าการจำหน่ายใน ประเทศค่อนข้างมาก ทำให้บริษัทให้ความสำคัญกับตลาดส่งออกมากกว่าตลาดในประเทศ n   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us