สุขภัณฑ์ "สตาร์" กระจายหุ้นใน ตลาดเอ็มไอเอ 122.8 ล้านบาท พร้อมเตรียมชำระหนี้สถาบันการเงิน 100 ล้านบาท จากหนี้สินรวม 200 ล้านบาท หวังลดต้นทุนเงินกู้และดอกเบี้ยจ่าย มั่นใจหลังชำระหนี้ กด D/E เหลือ 0.7 เท่าจากเดิม 3 เท่า มั่นใจช่วยเพิ่มอัตรากำไรสุทธิเป็น 21% จากเดิม 19% พร้อมขยายสัดส่วนส่งออกเพิ่มจาก 70% เป็น 75% หลังขยายกำลังผลิตเป็น 12,230 ตันต่อปี
นายสมชัย ว่องอรุณ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท สตาร์ ซานิทารีแวร์ จำกัด (มหาชน) (Star) ผู้ผลิตสุขภัณฑ์ส่งออกและขายในประเทศ ภายใต้ แบรนด์ สตาร์ เปิดเผยว่า ณ ไตรมาส 1 ของปี 2548 นี้ บริษัทมีหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 3 เท่า โดยบริษัทมีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิจากยอดขายเพียง 19% ในขณะที่อัตราการเติบโตของกำไรเบื้องต้นสูงถึง 49% ซึ่งการที่อัตรากำไรสุทธิของบริษัทมีอยู่ค่อนข้างต่ำแม้ว่าจะมีอัตรากำไรเบื้องต้นที่สูง เนื่องมาจากต้องนำกำไรจากการขายส่วนหนึ่งมาจ่ายหนี้ที่เกิดจากดอกเบี้ยเงินกู้ของบริษัท โดยในปัจจุบันบริษัทมีหนี้ อยู่ 200 ล้านบาทจากการกู้เงินสถาบันการเงินเพื่อ ใช้เป็นสภาพคล่องในการบริหารงานและการลงทุนของบริษัท
ทั้งนี้ บริษัทมีแผนที่จะขายเพิ่มทุน (IPO) ในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอในวันที่ 15 กันยายน นี้ จำนวน 36 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 26.47% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท และจะทำให้บริษัทมีเงินที่จะได้รับจากการระดมทุนจำนวน 122.8 ล้านบาท และมีรายได้จากส่วนล้ำมูลค่าหุ้นประมาณ 98 ล้านบาท โดยในการระดมทุนครั้งนี้บริษัทมีแผนที่จะนำเงินจำนวนดังกล่าวมาใช้ชำระหนี้ 100 ล้านบาท จากหนี้สินรวมของบริษัท 200 ล้านบาท โดยจะช่วยให้บริษัทมีต้นทุนจากเงินกู้และดอกเบี้ยลดลง ซึ่งจะมีผลทำให้อัตราหนี้สินต่อทุนของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ 0.7 เท่าในปลายปีนี้หลังจากที่มีการชำระหนี้สถาบันการเงินแล้ว และจะทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 21%
ส่วนเงินที่เหลือจากการระดมทุนอีก 22.8 ล้านบาท บริษัทจะนำไปใช้ในการขยายโรงงานเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีก 3,000 ตันต่อปี ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 9,230 ตันต่อปี หลังจากขยายกำลังการผลิตแล้วจะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 12,230 ตันต่อปี สำหรับการขยายกำลังการผลิตนี้คาดว่าจะใช้เงินทุนในการซื้อเครื่องจักร และอุปกรณ์ใหม่จำนวน 60 ล้านบาทโดยงบลงทุนส่วนที่เกินจาก 22.8 ล้านบาทนั้น บริษัท จะใช้เงินในสภาพคล่องของบริษัทเพิ่มเข้าไป โดยคาดว่าบริษัทจะสามารถเริ่มดำเนินการผลิตได้ประมาณต้นปี 2549
นายสมชัยกล่าวว่า ในปีที่ผ่านมาบริษัทมี ยอดขายรวม 285 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 38 ล้าน บาท ส่วนในไตรมาสแรกของปี 48 นี้บริษัทมียอดขายแล้ว 85 ล้านบาท หรือมีกำไรสุทธิ 16 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตของกำไรเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2547 ประมาณ 21% สำหรับยอดขายทั้งปีของปี 48 นี้บริษัทคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นจากปี 47 ประมาณ 15-25% ซึ่งอัตราการเติบโตที่คาดว่าเพิ่มขึ้นของยอดขายในปีนี้ มีสาเหตุมาจากยอดสั่งซื้อจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นและการปรับขึ้นราคาขายของสินค้า ซึ่งในช่วงที่ ผ่านมาบริษัทมีการปรับขึ้นราคาขายสินค้าไปแล้ว 7-8%
ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิต 9,230 ตันต่อปี แบ่งเป็นการจำหน่ายในตลาดส่งออก 70-80% โดยส่งออกไปประเทศอังกฤษเป็นอันดับ 1 ประมาณ 40% ตลาดญี่ปุ่น 20% และตลาดสหรัฐอเมริกา 10% ส่วนที่เหลือเป็นการส่งออกในภูมิภาคเอเชีย ส่วนการจำหน่ายในประเทศมีสัดส่วนประมาณ 20-30% โดยในส่วนของกำลังการผลิตทั้งหมดนี้เป็นการรับจ้างผลิตสินค้าให้แบรนด์อื่นในประเทศ 30% และส่งออก 70%
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่มีการเพิ่มกำลังการผลิตจาก 9,230 ตันต่อปีเป็น 12,230 ตันต่อปีแล้วบริษัทจะปรับเพิ่มสัดส่วนการส่งออกเป็น 75% และจำหน่ายในประเทศเป็น 25% ทั้งการที่บริษัทหันไปเพิ่มสัดส่วนในการส่งออกมากขึ้นเนื่องจากอัตรากำไรตอบแทนจากการส่งออกมีสูงกว่าการจำหน่ายใน ประเทศค่อนข้างมาก ทำให้บริษัทให้ความสำคัญกับตลาดส่งออกมากกว่าตลาดในประเทศ n
|