|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ กันยายน 2548
|
|
จำได้ว่าตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ราวๆ ย่างเข้าซัมเมอร์ พอหิมะเริ่มละลาย ก็เริ่มเห็นป้าย "Home for Sale" ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด และอีก 2-3 สัปดาห์ ก็มีคนย้ายเข้ามาอยู่ใหม่แล้ว ตัวอย่างง่ายๆ คือ "Subdivision" หรือที่บ้านเราเรียกว่า "โครงการบ้านจัดสรร" ที่ผู้เขียนอาศัยอยู่มีอายุโครงการประมาณแค่ 5-6 ปีเอง ซึ่งถือว่าเป็นโครงการใหม่เฟส 2 ยังขายไม่หมดดีเลย แต่มีคนย้ายเข้าย้ายออกเป็นว่าเล่น นี่ไม่ได้กล่าวถึงบ้านใหม่สร้างเสร็จสดๆ นะ แต่เป็นบ้านที่มีคนย้ายเข้าไปอยู่ได้เพียงปีสองปีแล้วก็ปิดป้ายขาย ส่วนโครงการบ้านใหม่ที่สร้างกันให้เห็นๆ ก็มีไม่น้อย ตั้งแต่โครงการขนาดย่อยแบบคอนโดมิเนียม ทาวน์เฮาส์ ไปจนถึงโครงการใหญ่บ้านหลังโตๆ เนื้อที่เยอะๆ หลังบ้านติดสนามกอล์ฟ... เพราะอะไรนั่นหรือ...
เพราะดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำ ปัจจุบันดอกเบี้ยเงินกู้คงที่ 30 ปีอยู่ที่ประมาณ 5.89% และ 15 ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาที่คนนิยมผ่อนมากที่สุดอยู่ที่ประมาณ 5.47% คนเลยมีโอกาสซื้อบ้านกันมากขึ้น และเมื่อดีมานด์มาก ซัปพลายเออร์ก็ได้ใจออกสินค้ามาล่อตาล่อใจ ชิงโอกาสช่วงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำๆ แบบนี้
เพราะราคาบ้านยังอยู่ในขาขึ้นมีหลายคนใช้จุดนี้มาเป็นช่องทางในการหารายได้ทำกำไรจากการซื้อขายบ้าน (อันนี้ต้องขึ้นอยู่กับสภาพบ้านและทำเลที่ตั้งด้วย) แม้ว่าจะมีนักวิเคราะห์หลายคนออกมาเตือนว่า ฟองสบู่ใกล้จะแตกแล้วให้ระวังตลาดบ้านอาจพังทลายได้ในพริบตา เนื่องจากดอกเบี้ยเงินกู้อาจจะเพิ่มขึ้นอีก ยิ่งราคาน้ำมันเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ต้องกระทบเศรษฐกิจของอเมริกาแน่นอน แต่คนก็ยังซื้อขายบ้านกันไม่หยุด และขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งเชื่อว่า ตลาดบ้านยังคงจะบูมไปอย่างน้อยอีก 10 ปีข้างหน้า... เพราะเด็กยุค Baby Boomer ที่ตอนนี้เติบใหญ่อยู่ในช่วงพีควัย 40-50 ปีมีรายได้มั่นคง เป็นที่ทราบกันว่า พลังหรืออำนาจการจับจ่ายของคนรุ่นนี้มีสูงมาก การซื้อบ้านเปลี่ยนบ้านถือเป็นเรื่องเล็กเหมือนการเปลี่ยนรถใหม่สักคันเท่านั้น ยิ่งกว่านั้น คนกลุ่มนี้ยังชอบอะไรที่ใหญ่ๆ โตๆ อยู่ในบ้านหลังโต ขับรถ SUV คันโตๆ แสดงถึงสถานะความเป็นอยู่ทางสังคม ดังนั้น ตราบใดที่คนกลุ่มนี้ยังมีกำลังซื้อ ตลาดบ้านก็อาจจะยังคงไปได้อีกนานนับสิบปี...
เพราะจำเป็นต้องย้ายถิ่นฐานจริงๆ หลายคนต้องย้ายถิ่นฐาน อาจจะด้วยหน้าที่การงาน หรือเกษียณอายุ ต้องการไปอยู่ตามเมืองตากอากาศ บ้านในแถบนี้ก็ราคาถีบขึ้นเรื่อยๆ เช่นที่มลรัฐ Navada ราคาบ้านพุ่งทะยานมากกว่า 30% ในเวลาเพียงแค่ 1 ปี ส่วนที่ California ตามติดมาเป็นอันดับสองประมาณ 25% และอันดับสามเป็น Hawaii ประมาณ 24% ส่วน Illinois มาเป็นอันดับที่ 26 ประมาณ 10% สำหรับราคาบ้านเฉลี่ยโดยรวมของทั้งประเทศ ตั้งแต่ไตรมาสแรกของปีที่่แล้วจนถึงไตรมาสแรกของปีนี้ บ้านมีราคาเฉลี่ยเพิ่มขึ้นประมาณ 12.50% (ตัวเลขจาก Office of Federal Housing Enterprise Oversight : OFHEO)
เชื่อหรือไม่ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ยอดขายบ้านใหม่ของอเมริกันพุ่งพรวดถึง 14% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว เฉพาะในเดือนมิถุนายนของปีนี้มีคนซื้อบ้านใหม่ถึง 1,374,000 ล้านหลังในทั่วประเทศ และในจำนวนนี้ตลาดบ้านในย่าน Midwest ที่ครอบคลุม 12 รัฐคือ Illinois Indiana Iowa Kansas Michigan Minnesota Missouri Nebraska North Dakota Ohio South Dakota และ Wisconsin เป็นตลาดที่มาแรงที่สุด โดยยอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 20% เทียบกับปีที่แล้ว
สาเหตุที่ทำให้ตลาดบ้านในแถบ Midwest บูมมากนั้นมาจากราคาบ้านที่ถูกกว่าในพื้นที่อื่นของอเมริกา คนจากรัฐอื่นที่ราคาบ้านสูงกว่าก็เริ่มย้ายมาอยู่ในย่านนี้มากขึ้น โดยเฉพาะในแถบรอบๆ ชิคาโก ที่มีโครงการบ้านจัดสรรเพิ่มขึ้นมากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา...
ใครๆ ก็อยากมีบ้านเป็นของตัวเอง... ปรากฏการณ์ตลาดบ้านบูมในอเมริกานี้ แม้ว่าจะมีการชะลอการซื้อขายบ้างในบางพื้นที่ แต่เชื่อว่า จุดจบยังมาไม่ถึง... แต่เป็นเพียงแค่การเปลี่ยนป้ายจาก "Home for sale" เป็น "Welcome to your new home!"
|
|
|
|
|