การประกาศลาออกจากคณะกรรมการแก้ไขปัญหาผลกระทบอันเกิดจากการดำเนินงาน ตามแผนฟื้นฟูกิจการบริษัท
ปิโตรเคมีกัลไทย (ทีพีไอ) ของสิปปนนท์ เกตุทัต ทำให้ดูเหมือนว่าการฟื้นฟูกิจการของทีพีไอ
ซึ่งแผนการฟื้นฟูได้ผ่านความเห็นชอบจากศาลล้มละลายกลางไปเกือบ 2 ปีมาแล้ว
อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น
สิปปนนท์ เป็นประธานคณะกรรมการ บริษัทเอ็ฟเฟ็คทีฟ แพลนเนอร์ส ที่คณะกรรมการเจ้าหนี้มีมติเห็นชอบให้เป็น
ผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการทีพีไอ
คณะกรรมการชุดที่สิปปนนท์เพิ่งลาออก เป็นคณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นโดยกระทรวงยุติธรรม
หลังจากเกิดการชุมนุมประท้วงอย่างหนักของพนักงานทีพีไอ ที่ต่อต้านการขายโรงไฟฟ้าของทีพีไอให้กับบริษัทบ้านปูพาวเวอร์
คณะกรรมการชุดนี้มี จาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน
คณะกรรมการประกอบด้วยตัวแทนจากฝ่ายต่างๆ ทั้งเจ้าหนี้ ผู้บริหารแผน รวมถึงตัวแทนของพนักงาน
และตัวแทนหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง
สิปปนนท์ได้อ้างเหตุผลในการลาออกครั้งนี้ว่า การมีคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นมา
อาจเป็นการหมิ่นเหม่ต่อการก้าวก่ายอำนาจตุลาการ และแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของส่วนข้าราชการประจำ
ประเด็นเรื่องการขายโรงไฟฟ้า เป็นประเด็นที่มีการต่อสู้ในข้อกฎหมายอย่างต่อเนื่อง
ตลอดตั้งแต่ต้นปี 2545 เป็นต้นมา เพราะเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดอยู่ในแผนการขายทรัพย์สินรองมูลค่า
200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งในแผนฟื้นฟูกิจการ ได้ถูกกำหนดไว้ว่าจะต้องกระทำให้เสร็จภายในวันที่
31 ธันวาคม 2544
แต่เอ็ฟเฟ็คทีฟ แพลนเนอร์ส ผู้บริหารแผนไม่สามารถเจรจาขายโรงไฟฟ้าได้ทันตามกำหนด
มีการประชุมเจ้าหนี้ถึง 2 ครั้งเพื่อขอให้มีการแก้ไขสาระสำคัญของแผนฟื้นฟูกิจการ
โดยจะเลื่อนระยะเวลาการขายทรัพย์สินรองออกไปจากกำหนดเดิมในวันที่ 31 ธันวาคม
2544 เป็น 31 มีนาคม 2545 แต่มีเจ้าหนี้บางรายที่ไม่เห็นด้วย เท่ากับเปิดช่องว่างกฎหมายให้ประชัย
เลี่ยวไพรัตน์ นำมาใช้ต่อสู้คัดค้าน จนล่าสุดเมื่อกลางเดือนกรกฎาคม ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งไม่ให้เลื่อนกำหนดการขายทรัพย์สินรองออกไป
ตามที่ผู้บริหารแผน และคณะกรรมการเจ้าหนี้เสนอ
ประชัยเป็นอดีตผู้บริหารทีพีไอที่คัดค้านการเข้ามาเป็น ผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการของเอ็ฟเฟ็คทีฟ
แพลนเนอร์สมาตั้งแต่ต้น ตลอดเวลาเขาพยายามหาช่องทางกฎหมายมาเล่นงานเอ็ฟเฟ็คทีฟ
แพลนเนอร์สหลายประเด็น มีคดีฟ้องร้องขึ้นศาลมากกว่า 30 คดี
แต่ประเด็นเรื่องการเลื่อนกำหนดเวลาขายทรัพย์สินที่เขานำมาต่อสู้ครั้งนี้
ดูเหมือนจะเป็นประเด็นที่ได้ผลมากที่สุด
หากเอ็ฟเฟ็คทีฟ แพลนเนอร์ส ไม่สามารถขายทรัพย์สินรองได้สำเร็จ จะมีผลต่อการบริหารแผนฟื้นฟูเพื่อให้ผลประกอบการ
และการลดมูลหนี้ของทีพีไอ ซึ่งปัจจุบันได้เหลืออยู่ประมาณ 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ไม่เป็นไปตามที่กำหนดไว้ ซึ่งประชัยอาจนำไปใช้เป็นข้ออ้าง ในการเรียกร้องขอเปลี่ยนตัวผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการได้อีกครั้งหนึ่ง
เรื่องนี้คงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด