|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
งานวิจัย สธ.ชี้ผลกระทบ เอฟทีเอไทย-สหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นกับระบบยา ในประเทศ บริษัทผลิตยาของคนไทยต้องเลิกกิจการหรือถูกเทกโอเวอร์เรียบวุธ ตลาดยาจะถูกผูกขาดโดยต่างชาติ ดันค่าใช้จ่ายด้านยา พุ่งทะยานนับแสนล้าน
นางชุติมา อครีพันธ์ นักวิชาการประจำกระทรวงสาธารณสุข ประเทศไทย นำเสนอ ผลงานวิจัยผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับระบบยาในประเทศไทยหากต้องขยายสิทธิบัตรและผูกขาดข้อมูลตามข้อตกลงเปิดการค้าเสรีไทย-สหรัฐฯ ในการประชุมเชิงปฏิบัติการระดับภูมิภาคเอเชียว่าด้วยข้อตกลงการค้าระดับทวิภาคี จัดโดยเครือข่ายโลกที่สาม (Third World Network) และรัฐบาลมาเลเซีย เมื่อวันที่ 26-28 ส.ค. ที่ผ่าน มา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย โดยระบุว่า จาก การทำวิจัยพบว่าข้อเรียกร้องในประเด็นที่สหรัฐฯ ยื่นต่อทุกประเทศที่เจรจาเอฟทีเอมาแล้ว คือ
1) การผูกขาดข้อมูลการทดลองยา 2) ให้หน่วยงานที่ทำหน้าที่ขึ้นทะเบียนยาต้องรับผิดชอบ ด้านการออกสิทธิบัตรด้วย 3) ให้ชดเชยระยะเวลาสิทธิบัตรอันเนื่องมาจากความล่าช้าในการออกสิทธิบัตรและการขึ้นทะเบียนยา 4) บังคับใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเข้มงวด 5) จำกัดมาตรการบังคับใช้สิทธิให้เหลือเพียงกรณีการบังคับใช้ของรัฐบาล 6) จำกัดหรือยกเลิกการนำเข้าซ้อน 7) จำกัดการถอนสิทธิบัตร ข้อเรียกร้องเหล่านี้ถือว่าเกินกว่าข้อตกลงทรัพย์สิน ทางปัญญาขององค์การการค้าโลก หรือเรียกว่า ทริปส์พลัส (TRIPs Plus)
จากงานวิจัยชี้ว่า หากรัฐบาลไทยต้องยอมตามข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ อุตสาหกรรมยา ในประเทศจะถูกจำกัดการพัฒนา โรงงานของคนไทยจะต้องเลิกกิจการหรือถูกเทกโอเวอร์ ผู้บริโภคชาวไทยจะต้องพึ่งพิงอยู่กับยาราคาแพงที่ติดสิทธิบัตร และลดจำนวนผู้เข้าถึงยาไปอีกยาวนาน ทั้งนี้ ปัจจุบันตัวเลขการบริโภคยาของคนไทยอยู่ที่ 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 52,000 ล้านบาท ซึ่งจำนวนนี้ 53.6% เป็นการใช้ยาที่ผลิตในประเทศ
การวิจัยของกระทรวงสาธารณสุขยังชี้ว่า จากตัวเลขปี 2546 ยาสามัญ (generic drug) ที่ทำขึ้นเพื่อทดแทนยาต้นแบบ (Original drug) ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดครึ่งหนึ่ง ทำให้ประเทศไทยสามารถประหยัดเงินได้มากถึง 264.3 ล้านเหรียญ สหรัฐ หากไม่มียาสามัญ ประเทศไทยจะต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อยาชนิดเดียวกันมากถึง 517 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 20,680 ล้านบาท)
งานวิจัยดังกล่าวประเมินว่า หากตลาดยาถูกผูกขาด โดยการเพิ่มอายุสิทธิบัตรและผูกขาดข้อมูลตามข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบด้านราคา ทำให้ยาแต่ละชนิดมีราคาแพงขึ้น 0.1-1.1 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี ซึ่งภายใน ระยะเวลา 10 ปีของการผูกขาด ยาแต่ละตัวจะแพงขึ้น 13.9-90.2 ล้านเหรียญสหรัฐ จากประมาณการยาขึ้นทะเบียนใหม่เฉลี่ยปีละ 60 ชนิด จะทำให้รายจ่ายของประเทศต้องเพิ่มขึ้น 6.4-65.9 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี และหากบริษัทยาสามารถผูกขาดยาได้ถึง 10 ปี ค่าใช้จ่ายด้านยาจะสูงถึง 836.7-5,411.4 ล้านเหรียญสหรัฐ กระทรวงฯ จึงมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อรัฐบาลให้รักษาจุดยืนการทำเอฟทีเอจะต้องไม่ส่งผลต่อระบบสาธารณสุขของประเทศ
ทางด้านปีเตอร์ ดราฮอส จากมหาวิทยาลัย แห่งชาติออสเตรเลีย กล่าวว่า จากบทเรียนที่ออสเตรเลียทำเอฟทีเอกับสหรัฐฯ ภาคเกษตรที่หวังจะส่งสินค้าออกมากขึ้นไม่ได้ประโยชน์เลยแม้แต่น้อย แต่กลับต้องสูญเสียโครงการควบคุมราคายา หรือ PBS ที่ถือว่าดีที่สุดในโลก และทำให้คนออสเตรเลียตกเป็นเป้าการทำลายของสหรัฐฯ ผลกระทบเกิดขึ้นทันทีหลังเอฟทีเอ ออสเตรเลีย-สหรัฐฯมีผลบังคับใช้คือ อุตสาห-กรรมยาสามัญของออสเตรเลีย 6 บริษัทต้องย้าย ฐาน บริษัทที่เหลืออีกจำนวนมากต้องปิดกิจการ หรือต้องร่วมทุนอย่างไม่สมัครใจกับบริษัทยาแบรนด์เนมซึ่งส่วนใหญ่เป็นของสหรัฐฯ n
|
|
|
|
|