Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ ตุลาคม 2545








 
นิตยสารผู้จัดการ ตุลาคม 2545
เมื่อหน่วยงานรัฐคิดแบบเอกชน             
 


   
search resources

Hospital




ความที่โรงพยาบาลบ้านแพ้ว เป็นโรงพยาบาลแห่งแรกที่ได้ออกจากระบบราชการ แปรสภาพเป็นองค์การมหาชน ทำให้ในแต่ละเดือนหมอวิทิต อรรถเวชกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาล จำเป็นต้องเดินทางจากสมุทรสาครเข้ามาประชุมในกรุงเทพฯ บ่อยครั้ง

ทุกครั้งคุณหมอจะใช้เส้นทางถนนพระราม 2 เพื่อมาขึ้นทางด่วนที่ดาวคะนอง

และทุกครั้งอีกเช่นกัน ที่ก่อนขึ้นทางด่วน คุณหมอจะต้อง เห็นตึกสูงประมาณ 25 ชั้น ที่มีป้ายเขียนไว้ว่าโรงพยาบาล เวชสวัสดิ์ ตั้งตระหง่านอยู่ด้านซ้ายมือ

แต่ตึกแห่งนี้กลับถูกปล่อยทิ้งร้างเอาไว้ จากพิษวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อ 5 ปีก่อน สร้างความรู้สึกหดหู่ใจให้กับคุณหมอเป็นอย่างยิ่ง

รพ.เวชสวัสดิ์ เป็นโครงการของสมศักดิ์ ลีสวัสดิ์ตระกูล ที่ต้องประสบปัญหาทางการเงินภายหลังการลอยตัวค่าเงินบาททำให้ต้องปิดกิจการ โดยตัวอาคารถูกโอนมาอยู่ในความดูแลของ บรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน (บบส.)

หากเป็นในสมัยที่ รพ.บ้านแพ้ว ยังเป็นหน่วยงานรัฐ คุณหมอก็คงทำอะไรไม่ได้ นอกจากมองแล้วเมินผ่าน แต่การที่รพ.บ้านแพ้วกลายเป็นองค์การมหาชน ทำให้คุณหมอมีความกล้าในการคิด และตัดสินใจทำในสิ่งที่หน่วยราชการโดยทั่วไปไม่อาจทำได้

รพ.บ้านแพ้ว ได้เสนอซื้อตึกแห่งนี้จาก บบส. โดยให้ราคา 300 ล้านบาท

การเสนอซื้อครั้งนี้ ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีไปแล้วเมื่อวันที่ 3 กันยายนที่ผ่านมา และเรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการบริหาร บบส.

ในระบบธุรกิจ การเสนอซื้อตึกที่ติดภาระจำนองอยู่กับสถาบันการเงินในราคาขนาดนี้ ถือเป็นเรื่องปกติ แต่กรณีที่เกิดขึ้น กับ รพ.เวชสวัสดิ์ ซึ่งถูกเสนอซื้อโดย รพ.บ้านแพ้ว โรงพยาบาลชุมชนขนาดเพียง 180 เตียง มีงบประมาณดำเนินการปีละ 150 ล้านบาท ย่อมเป็นเรื่องไม่ธรรมดา และเรื่องนี้คงไม่อาจเกิดขึ้นได้ หาก รพ.บ้านแพ้ว ยังมีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐ

การออกจากระบบราชการ คือ กระบวนการปฏิรูปการทำงานของหน่วยราชการ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวให้มากขึ้น โดยหน่วยงานที่ออกจากระบบราชการจะถูกแปรรูปเป็นองค์การมหาชน การควบคุมดูแลจะอยู่ในรูปแบบของคณะกรรมการ ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนภาครัฐ ตัวแทนของชุมชนท้องถิ่น และผู้ทรงคุณวุฒิ

คณะกรรมการชุดนี้ จะมีบทบาทในการกำหนดกรอบการ ดำเนินงาน โดยยึดหลักที่ไม่ขัดกับนโยบายของรัฐบาล ไม่แสวงหากำไร และอยู่ภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ส่วนบทบาทในการบริหาร ตำแหน่งผู้อำนวยการจะถูกแปรสภาพจากข้าราชการ มาเป็นมืออาชีพ ที่ผ่านการคัดเลือกจากคณะกรรมการ เปรียบเสมือนลูกจ้างที่มีระยะเวลาการจ้างตามสัญญาคราวละ 4 ปี

ผู้อำนวยการเปรียบเสมือนเป็น CEO (Chief Executive Officer) มีอำนาจเต็มในการบริหารงาน การดูแลบุคลากร รวม ถึงรายรับรายจ่าย โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการจัดทำงบประมาณ เหมือนหน่วยราชการ ทำให้การดำเนินงานมีอิสระทั้งทางด้านการลงทุน การจัดซื้อจัดจ้าง รวมถึงมีอำนาจในการทำนิติกรรม แม้แต่การกู้เงินจากสถาบันการเงิน

รพ.บ้านแพ้ว เริ่มออกจากระบบราชการ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2543

นอกจากจะเป็นโรงพยาบาลที่เป็นองค์การมหาชนแห่งแรกแล้ว รพ.บ้านแพ้วยังเป็นต้นแบบของโครงการ 30 บาท รักษา ทุกโรคของรัฐบาลชุดนี้

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ได้มีการสำรวจถึงความเข้าใจของประชาชนในกรุงเทพมหานคร ต่อโครงการดังกล่าว ซึ่งกระทำโดย นักศึกษาปริญญาโท คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

ผลการสำรวจนอกจากจะพบว่า คนกรุงเทพฯ เริ่มมีความเข้าใจในโครงการนี้มากขึ้นแล้ว ยังพบว่ามีพื้นที่บางแห่งในกรุงเทพฯ ที่ประชาชนไม่ได้รับความสะดวกในการใช้บริการของโครงการ ได้แก่ พื้นที่ในเขตบางขุนเทียน ทุ่งครุ ราชบูรณะ และจอมทอง รวมถึงบางบอนบางส่วน เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ไม่มีโรงพยาบาลของรัฐตั้งอยู่ และโรงพยาบาลของเอกชนที่เข้าร่วมกับโครงการ 30 บาท อยู่ในจุดที่ห่างไกลต่อการเดินทาง

คนที่อาศัยอยู่ในเขตเหล่านี้ จำเป็นต้องเข้าไปใช้บริการของโรงพยาบาลเอกชน ที่มีอยู่ประมาณ 5-6 แห่ง ซึ่งคิดค่าบริการ ในราคาที่สูงกว่า

98.9% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่ถูกกระจายออกไปประมาณ 2,000 ชุด เรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาตั้งโรงพยาบาลภายในบริเวณนี้ แต่การลงทุนสร้างโรงพยาบาลขึ้นใหม่ จำเป็นต้องใช้งบประมาณนับพันล้านบาท และกระบวนการจัดทำงบประมาณ ตลอดจนการก่อสร้าง อาจกินเวลาหลายปี จนไม่ทันต่อการขยายตัวของชุมชน

ด้วยความที่ต้องมองเห็นตึกร้างของ รพ.เวชสวัสดิ์ทุกครั้งที่เดินทางเข้ากรุงเทพฯ หมอวิทิตจึงคิดว่า ถ้านำตึกนี้มาปรับปรุงใหม่ให้เป็นองค์การมหาชน ในลักษณะของโรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง และให้บริการกับผู้ป่วยในโครงการ 30 บาทโดยเฉพาะ น่าจะเป็น ทางออกที่ลงตัวมากที่สุด

การเสนอซื้อ รพ.เวชสวัสดิ์ รพ.บ้านแพ้วเสนอเงื่อนไขการ ชำระเงิน โดยจะผ่อนจ่ายกับ บบส.ภายในระยะเวลา 1 ปี

แนวคิดนี้ หมอวิทิตได้ปรึกษา และได้รับการเห็นชอบจาก นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยกระทรวงจะนำงบประมาณเหลือจ่ายของโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า ในปีงบประมาณ 2544 จำนวน 49.6 ล้านบาทมาเป็นงบสนับสนุนเบื้องต้น ส่วนที่เหลือถือเป็นหน้าที่ของรพ.บ้านแพ้ว

ตามแผนงาน หากคณะกรรมการ บบส.อนุมัติให้ขายอาคารแห่งนี้ รพ.บ้านแพ้วก็จะเข้าไปปรับปรุงสภาพตัวอาคาร จัดเตรียมบุคลากร และอุปกรณ์การแพทย์ รวมทั้งทีมงานบริหาร เพื่อให้สามารถเปิดดำเนินการได้ภายใน 1 ปี

และเพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณในการดำเนินงาน หมอวิทิตได้ขอความร่วมมือจาก รพ.อื่นในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ส่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านต่างๆ เข้ามาช่วยงานในโรงพยาบาล โดยโรงพยาบาลที่ได้มีการพูดคุยกันเบื้องต้นแล้วประกอบด้วย รพ.เลิดสิน จะให้ความร่วมมือทางด้านศัลยกรรมทั่วไป และศัลยกรรมกระดูก รพ.เมตตาประชารักษ์ วัดไร่ขิง ให้ความร่วมมือทางด้านจักษุแพทย์ และรพ.นพรัตน์ ราชธานี จะเข้ามาร่วมทางด้านอาชีวเวชศาสตร์ ฯลฯ

เป็นการดำเนินงานในลักษณะของพูล โดยบทบาทของรพ.บ้านแพ้ว เป็นผู้ลงทุน และบริหารงานทั่วไป

ความเคลื่อนไหวของ รพ.บ้านแพ้วครั้งนี้ ได้ก่อให้เกิดความตื่นตัวในหมู่โรงพยาบาลเอกชนที่ตั้งอยู่ในบริเวณดังกล่าว มีการเสนอซื้ออาคารหลังเดียวกันเข้ามายัง บบส.ทันที โดยบวกราคาเพิ่มขึ้นไปอีกประมาณ 30 ล้านบาท แต่เรื่องนี้ คณะกรรมการ บบส.ยังไม่มีข้อสรุป

สิ่งที่ รพ.บ้านแพ้วกำลังดำเนินการ ถือเป็นมิติใหม่ของระบบราชการไทย ที่กล้านำวิธีคิดแบบเอกชนมาใช้ในการทำงาน

และหากประสบความสำเร็จ โครงการนี้ก็จะถือเป็นรูปแบบการบริหารงาน ที่โรงพยาบาลอื่นๆ ที่กำลังจะออกจากระบบราชการ ต้องนำไปศึกษา และเป็นแบบอย่างในการพัฒนาการให้บริการทางด้านสาธารณสุขมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us