ความที่โรงพยาบาลบ้านแพ้ว เป็นโรงพยาบาลแห่งแรกที่ได้ออกจากระบบราชการ
แปรสภาพเป็นองค์การมหาชน ทำให้ในแต่ละเดือนหมอวิทิต อรรถเวชกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาล
จำเป็นต้องเดินทางจากสมุทรสาครเข้ามาประชุมในกรุงเทพฯ บ่อยครั้ง
ทุกครั้งคุณหมอจะใช้เส้นทางถนนพระราม 2 เพื่อมาขึ้นทางด่วนที่ดาวคะนอง
และทุกครั้งอีกเช่นกัน ที่ก่อนขึ้นทางด่วน คุณหมอจะต้อง เห็นตึกสูงประมาณ
25 ชั้น ที่มีป้ายเขียนไว้ว่าโรงพยาบาล เวชสวัสดิ์ ตั้งตระหง่านอยู่ด้านซ้ายมือ
แต่ตึกแห่งนี้กลับถูกปล่อยทิ้งร้างเอาไว้ จากพิษวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อ 5
ปีก่อน สร้างความรู้สึกหดหู่ใจให้กับคุณหมอเป็นอย่างยิ่ง
รพ.เวชสวัสดิ์ เป็นโครงการของสมศักดิ์ ลีสวัสดิ์ตระกูล ที่ต้องประสบปัญหาทางการเงินภายหลังการลอยตัวค่าเงินบาททำให้ต้องปิดกิจการ
โดยตัวอาคารถูกโอนมาอยู่ในความดูแลของ บรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน
(บบส.)
หากเป็นในสมัยที่ รพ.บ้านแพ้ว ยังเป็นหน่วยงานรัฐ คุณหมอก็คงทำอะไรไม่ได้
นอกจากมองแล้วเมินผ่าน แต่การที่รพ.บ้านแพ้วกลายเป็นองค์การมหาชน ทำให้คุณหมอมีความกล้าในการคิด
และตัดสินใจทำในสิ่งที่หน่วยราชการโดยทั่วไปไม่อาจทำได้
รพ.บ้านแพ้ว ได้เสนอซื้อตึกแห่งนี้จาก บบส. โดยให้ราคา 300 ล้านบาท
การเสนอซื้อครั้งนี้ ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีไปแล้วเมื่อวันที่ 3 กันยายนที่ผ่านมา
และเรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการบริหาร บบส.
ในระบบธุรกิจ การเสนอซื้อตึกที่ติดภาระจำนองอยู่กับสถาบันการเงินในราคาขนาดนี้
ถือเป็นเรื่องปกติ แต่กรณีที่เกิดขึ้น กับ รพ.เวชสวัสดิ์ ซึ่งถูกเสนอซื้อโดย
รพ.บ้านแพ้ว โรงพยาบาลชุมชนขนาดเพียง 180 เตียง มีงบประมาณดำเนินการปีละ
150 ล้านบาท ย่อมเป็นเรื่องไม่ธรรมดา และเรื่องนี้คงไม่อาจเกิดขึ้นได้ หาก
รพ.บ้านแพ้ว ยังมีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐ
การออกจากระบบราชการ คือ กระบวนการปฏิรูปการทำงานของหน่วยราชการ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวให้มากขึ้น
โดยหน่วยงานที่ออกจากระบบราชการจะถูกแปรรูปเป็นองค์การมหาชน การควบคุมดูแลจะอยู่ในรูปแบบของคณะกรรมการ
ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนภาครัฐ ตัวแทนของชุมชนท้องถิ่น และผู้ทรงคุณวุฒิ
คณะกรรมการชุดนี้ จะมีบทบาทในการกำหนดกรอบการ ดำเนินงาน โดยยึดหลักที่ไม่ขัดกับนโยบายของรัฐบาล
ไม่แสวงหากำไร และอยู่ภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ส่วนบทบาทในการบริหาร ตำแหน่งผู้อำนวยการจะถูกแปรสภาพจากข้าราชการ มาเป็นมืออาชีพ
ที่ผ่านการคัดเลือกจากคณะกรรมการ เปรียบเสมือนลูกจ้างที่มีระยะเวลาการจ้างตามสัญญาคราวละ
4 ปี
ผู้อำนวยการเปรียบเสมือนเป็น CEO (Chief Executive Officer) มีอำนาจเต็มในการบริหารงาน
การดูแลบุคลากร รวม ถึงรายรับรายจ่าย โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการจัดทำงบประมาณ
เหมือนหน่วยราชการ ทำให้การดำเนินงานมีอิสระทั้งทางด้านการลงทุน การจัดซื้อจัดจ้าง
รวมถึงมีอำนาจในการทำนิติกรรม แม้แต่การกู้เงินจากสถาบันการเงิน
รพ.บ้านแพ้ว เริ่มออกจากระบบราชการ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2543
นอกจากจะเป็นโรงพยาบาลที่เป็นองค์การมหาชนแห่งแรกแล้ว รพ.บ้านแพ้วยังเป็นต้นแบบของโครงการ
30 บาท รักษา ทุกโรคของรัฐบาลชุดนี้
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ได้มีการสำรวจถึงความเข้าใจของประชาชนในกรุงเทพมหานคร
ต่อโครงการดังกล่าว ซึ่งกระทำโดย นักศึกษาปริญญาโท คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ผลการสำรวจนอกจากจะพบว่า คนกรุงเทพฯ เริ่มมีความเข้าใจในโครงการนี้มากขึ้นแล้ว
ยังพบว่ามีพื้นที่บางแห่งในกรุงเทพฯ ที่ประชาชนไม่ได้รับความสะดวกในการใช้บริการของโครงการ
ได้แก่ พื้นที่ในเขตบางขุนเทียน ทุ่งครุ ราชบูรณะ และจอมทอง รวมถึงบางบอนบางส่วน
เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ไม่มีโรงพยาบาลของรัฐตั้งอยู่ และโรงพยาบาลของเอกชนที่เข้าร่วมกับโครงการ
30 บาท อยู่ในจุดที่ห่างไกลต่อการเดินทาง
คนที่อาศัยอยู่ในเขตเหล่านี้ จำเป็นต้องเข้าไปใช้บริการของโรงพยาบาลเอกชน
ที่มีอยู่ประมาณ 5-6 แห่ง ซึ่งคิดค่าบริการ ในราคาที่สูงกว่า
98.9% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่ถูกกระจายออกไปประมาณ 2,000 ชุด เรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาตั้งโรงพยาบาลภายในบริเวณนี้
แต่การลงทุนสร้างโรงพยาบาลขึ้นใหม่ จำเป็นต้องใช้งบประมาณนับพันล้านบาท และกระบวนการจัดทำงบประมาณ
ตลอดจนการก่อสร้าง อาจกินเวลาหลายปี จนไม่ทันต่อการขยายตัวของชุมชน
ด้วยความที่ต้องมองเห็นตึกร้างของ รพ.เวชสวัสดิ์ทุกครั้งที่เดินทางเข้ากรุงเทพฯ
หมอวิทิตจึงคิดว่า ถ้านำตึกนี้มาปรับปรุงใหม่ให้เป็นองค์การมหาชน ในลักษณะของโรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง
และให้บริการกับผู้ป่วยในโครงการ 30 บาทโดยเฉพาะ น่าจะเป็น ทางออกที่ลงตัวมากที่สุด
การเสนอซื้อ รพ.เวชสวัสดิ์ รพ.บ้านแพ้วเสนอเงื่อนไขการ ชำระเงิน โดยจะผ่อนจ่ายกับ
บบส.ภายในระยะเวลา 1 ปี
แนวคิดนี้ หมอวิทิตได้ปรึกษา และได้รับการเห็นชอบจาก นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยกระทรวงจะนำงบประมาณเหลือจ่ายของโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า
ในปีงบประมาณ 2544 จำนวน 49.6 ล้านบาทมาเป็นงบสนับสนุนเบื้องต้น ส่วนที่เหลือถือเป็นหน้าที่ของรพ.บ้านแพ้ว
ตามแผนงาน หากคณะกรรมการ บบส.อนุมัติให้ขายอาคารแห่งนี้ รพ.บ้านแพ้วก็จะเข้าไปปรับปรุงสภาพตัวอาคาร
จัดเตรียมบุคลากร และอุปกรณ์การแพทย์ รวมทั้งทีมงานบริหาร เพื่อให้สามารถเปิดดำเนินการได้ภายใน
1 ปี
และเพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณในการดำเนินงาน หมอวิทิตได้ขอความร่วมมือจาก
รพ.อื่นในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ส่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านต่างๆ เข้ามาช่วยงานในโรงพยาบาล
โดยโรงพยาบาลที่ได้มีการพูดคุยกันเบื้องต้นแล้วประกอบด้วย รพ.เลิดสิน จะให้ความร่วมมือทางด้านศัลยกรรมทั่วไป
และศัลยกรรมกระดูก รพ.เมตตาประชารักษ์ วัดไร่ขิง ให้ความร่วมมือทางด้านจักษุแพทย์
และรพ.นพรัตน์ ราชธานี จะเข้ามาร่วมทางด้านอาชีวเวชศาสตร์ ฯลฯ
เป็นการดำเนินงานในลักษณะของพูล โดยบทบาทของรพ.บ้านแพ้ว เป็นผู้ลงทุน และบริหารงานทั่วไป
ความเคลื่อนไหวของ รพ.บ้านแพ้วครั้งนี้ ได้ก่อให้เกิดความตื่นตัวในหมู่โรงพยาบาลเอกชนที่ตั้งอยู่ในบริเวณดังกล่าว
มีการเสนอซื้ออาคารหลังเดียวกันเข้ามายัง บบส.ทันที โดยบวกราคาเพิ่มขึ้นไปอีกประมาณ
30 ล้านบาท แต่เรื่องนี้ คณะกรรมการ บบส.ยังไม่มีข้อสรุป
สิ่งที่ รพ.บ้านแพ้วกำลังดำเนินการ ถือเป็นมิติใหม่ของระบบราชการไทย ที่กล้านำวิธีคิดแบบเอกชนมาใช้ในการทำงาน
และหากประสบความสำเร็จ โครงการนี้ก็จะถือเป็นรูปแบบการบริหารงาน ที่โรงพยาบาลอื่นๆ
ที่กำลังจะออกจากระบบราชการ ต้องนำไปศึกษา และเป็นแบบอย่างในการพัฒนาการให้บริการทางด้านสาธารณสุขมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น