ถึงแม้ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปีนี้ของภัทรประกันภัยที่มีกำไรสุทธิ 99 ล้านบาท จะลดลงจากงวดเดียวกันของปีที่แล้วถึง 17% แต่ผู้บริหารก็ยังมั่นใจในการดำเนินงาน เห็นได้จากการปรับเพิ่มเป้าเบี้ยประกันภัยรับจากเดิมที่ตั้งไว้ 1,400 ล้านบาท ขึ้นอีก 100 ล้านบาท คิดเป็นการเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 25% ที่มาของความมั่นใจดังกล่าว มาจากการเพิ่มขึ้นของเบี้ยประกันภัยรับในงวด 6 เดือนแรกที่ทำได้ถึง 758 ล้านบาท
"การขยายตัวของเบี้ยประกันภัยรับของเรายังดีอยู่ แต่ที่ผลการดำเนินงานมีกำไรลดลงเป็นเพราะผลจากการลดลงของรายได้จากการลงทุนเป็นหลัก" กฤตยา ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการ ภัทรประกันภัยกล่าว
ด้วยเหตุนี้เอง ในครึ่งปีหลังนี้ภัทรประกันภัยจึงให้ความสำคัญกับการดูแลพอร์ตการลงทุนมากขึ้น โดยจะมีการปรับเพิ่มคณะกรรมการลงทุน ให้มีกรรมการที่มีความชำนาญด้านการลงทุน ทั้งในตลาดทุน ตลาดเงิน และตลาดตราสาร เพื่อปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับปัจจัยต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศ โดยตั้งเป้าผลตอบแทนการลงทุนเอาไว้ที่ 7% เป็นอย่างต่ำ
นอกจากนี้ยังจะคัดเลือกหาบริษัทที่เชี่ยวชาญการลงทุนเพื่อมาดูแลพอร์ตการลงทุนส่วนใหญ่ของบริษัท เพื่อสร้างผลตอบแทนให้สูงขึ้นจากปัจจุบัน โดยพอร์ตมูลค่า 3,000 ล้านบาท ที่มีอยู่คาดว่าจะเก็บไว้บริหารเองเพียง 300-500 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะให้บริษัทจัดการลงทุนมาดูแลทั้งหมด ซึ่งในขณะนี้มีการเสนอตัวเข้ามาบ้างแล้ว
สำหรับในด้านการรับประกันภัยได้มีการวางนโยบายเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าเบี้ยประกันภัยรับ 1,500 ล้านบาทที่ตั้งไว้ โดยการต่อยอดการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจและการเพิ่มช่องทางตลาดใหม่ๆ โดยเฉพาะโครงการ Bancassurance ร่วมกับธนาคารกสิกรไทย ด้วยการออกผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าธนาคารและอำนวยความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่ธนาคารในการขาย ซึ่งได้เตรียมการมาแล้วกว่า 1 ปีและคาดว่าจะได้เบี้ยประกันไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท รวมทั้งการทำตลาดลูกค้ารายย่อย ทั้งทางเทเลมาร์เก็ตติ้ง ไดเร็กต์เมล์ รวมถึงการใช้ฐานข้อมูลลูกค้า บางส่วนร่วมกับพันธมิตร ซึ่งถือเป็นการเปิดช่องทางการขายใหม่ในลูกค้ากลุ่มใหม่เพื่อขยายการเติบโตของเบี้ยประกัน
นอกจากนี้ยังจะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น ประกันภัยสินเชื่อทางการค้า ประกันภัยอัญมณี ประกันภัยความรับผิดทางวิชาชีพ เช่น แพทย์ วิศวกร สถาปนิก และนักบัญชี
สำหรับธุรกิจประกันภัยในปีนี้ กรมการประกันภัยคาดว่าเบี้ยประกันภัยจะมีการขยายตัวระหว่าง 9.7-12.7% หรือคิดเป็น การเพิ่มขึ้นประมาณ 7,800-10,260 ล้านบาท โดยคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะมีการแข่งขันรุนแรงมากขึ้น และในอนาคตอาจได้เห็นการควบรวมของบริษัทประกันภัยมากขึ้นเพื่อเตรียมตัวรับการเปิดเสรีทางการเงิน
|