Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กันยายน 2548








 
นิตยสารผู้จัดการ กันยายน 2548
The Land of The Rising Sun             
โดย อรวรรณ บัณฑิตกุล
 


   
search resources

Social




เจ้าจำปีโคลงตัวเพียงเล็กน้อย ไม่น่าจะทำให้สะดุ้งตื่น แต่เป็นเพราะท่านั่ง (นอน) ที่ไม่ค่อยสบายนักทำให้ต้องลืมตาขึ้น แต่แล้วต้องสะดุ้ง (นิดๆ) เพราะเมื่อมองผ่านหน้าต่างออกไปด้านนอก ฟ้ากลับสว่างจ้า ทั้งที่เข็มนาฬิกาเพิ่งตี 4 เท่านั้นเอง พลิกตัวไปมาอีกประมาณ 2 ชั่วโมง เครื่องบินก็แตะรันเวย์สนามบินคันไซ เมืองโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ดินแดนที่เห็นแสงอาทิตย์ก่อนใครในเอเชีย

"ผู้จัดการ" ได้ร่วมเดินทางพร้อมผู้สื่อข่าวจากหนังสือพิมพ์, ทีวี และเจ้าหน้าที่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) รวมทั้งหมด 14 คน เพื่อร่วมงาน "Robo Cup 2005 Osaka" โดยบริษัทปูนซิเมนต์ไทยเป็นสปอนเซอร์รายใหญ่ ส่ง "Independent" หุ่นยนต์กู้ภัยตัวแรกของไทย จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ปราจีนบุรี เข้าร่วมการแข่งขัน โดยเริ่มแข่งรอบแรกตั้งแต่เช้าวันที่ 13 กรกฎาคม 2548 ขณะนั้นเวลาท้องถิ่นประมาณ 8.00 น. เร็วกว่าเมืองไทยประมาณ 2 ชั่วโมง ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงจากสนามบิน ก็ถึงศูนย์ประชุม Intex ซึ่งน้องๆ เดินทางมาล่วงหน้าได้ไปเตรียมตัวแข่งอยู่แล้ว

Robo Cup เป็นหนึ่งในความคิดริเริ่ม ด้านการศึกษาและวิจัยระดับนานาชาติเพื่อสนับสนุนงานวิจัยเกี่ยวกับการประดิษฐ์หุ่นยนต์ และการพัฒนาคอมพิวเตอร์ให้มีศักยภาพทางสติปัญญาเทียบเท่ามนุษย์โดยวิธีการตั้งโจทย์ที่สามารถนำเทคโนโลยีมาตรวจสอบและประยุกต์ใช้ตอบคำถามได้ โครงการแรกที่แถลงข่าวต่อสาธารณชนเกิดขึ้นในปี 2536 โดยเป็นแนวความคิดของการสร้างทีมหุ่นยนต์ นักฟุตบอล ในเดือนกรกฎาคมปี 2540 ทีมหุ่นยนต์นักฟุตบอลก็ลงสนามแข่งขันเป็นทางการครั้งแรกที่เมืองนาโกยา ประเทศญี่ปุ่น และหลังจากนั้นก็มีการแข่งขัน และพัฒนาหุ่นยนต์ประเภทต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง การแข่งขันครั้งนี้เป็นครั้งที่ 9 ซึ่งได้รับความสนใจมากมายกว่าทุกครั้ง โดยมีทีมที่เข้าร่วมแข่งขันในประเภทต่างๆ เช่น หุ่นยนต์เตะฟุตบอล (Robo Cup Soccer Humanoid League) หุ่นยนต์กู้ภัย (Rescue) และอีกหลายประเภทของเด็กๆ รวมถึง 400 ทีมจาก 35 ประเทศ ส่วนใหญ่เป็นทีมจากเมืองที่เป็นเจ้าเทคโนโลยี เช่น จากประเทศญี่ปุ่น เยอรมนี สหรัฐอเมริกา อิตาลี ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และจีน ส่วนโซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แทบจะไม่มีเลย (อ่านรายละเอียดการแข่งขันหุ่นยนต์กู้ภัยได้ในคอลัมน์ life)

นอกจากการแข่งขันแล้วในงานมีร้านค้ามาออกบูธขายหุ่นยนต์หน้าตาน่ารัก และหน้าตาประหลาดๆ มากมาย รวมทั้งบูธของ เจ้าแมวโดราเอมอน หุ่นยนต์ในฝันของเด็กทั่วโลก สักวันโลกมนุษย์คงมีหุ่นยนต์เดินกันเต็มบ้านเต็มเมืองเหมือนภาพยนตร์เรื่อง "สตาร์วอร์ส" แน่นอน

แต่ ณ วันนี้ ขอบอกว่าตื่นตาตื่นใจกับผู้คนที่เดินผ่านไปมาบนถนนซินไซบาชิ ที่อยู่ด้านหลังโรงแรมที่พัก Riva Nankai อย่างมากๆ ข้างถนนเต็มไปด้วยร้านค้า แหล่งความบันเทิง และร้านอาหาร สามารถเดินชอปปิ้งไปได้ถึงย่านนำบะ และบริเวณรอบๆ สถานีรถไฟอุเมะดะ ที่มีศูนย์ชอปปิ้งใต้ดินทันสมัย และมีผู้คนเดินคึกคักเนืองแน่นทั้งวัน

"เขาไม่เหมือนคนเอเชียแถบบ้านเรา ไม่ใช่พวกฝรั่ง หรือยุโรป แต่เป็นเหมือนมนุษย์พันธุ์ใหม่นะพี่นะ" น้องนักข่าวคนหนึ่งเปรยออกมาเบาๆ ขณะที่เดินอยู่ท่ามกลางมนุษย์ผู้หญิง หน้าตาขาวเกลี้ยง แต่งหน้ากันสุดฤทธิ์ ด้วยโทนสีส้มน้ำตาล ปัดขนตาแข็งเด่ ไว้ผมยาวซอยไล่ลงมา ด้านบนตีโป่งพองๆ ส่วนผู้ชาย ผมก็จะแหลมๆ ชี้ไปชี้มาเหมือนในหนังการ์ตูนญี่ปุ่น

ไกด์บอกว่าเป็นทรงใหม่ที่กำลังฮิตและในย่านนี้เหมือนเป็นที่ลองแฟชั่นใหม่ๆ จากโตเกียว ถ้าวัยรุ่นนิยมก็หมายความว่าเป็นที่ยอมรับของตลาดทั่วไปด้วย ไกด์เล่าเรื่องแฟชั่นไม่ทันจบประโยค ก็ทำตาโตกระโดดไปดึงแขนนักข่าวสาว 2 คนที่กำลังยืนชี้รูปผู้ชายในทรงผมแปลกๆ ที่ติดไว้มากมายหน้าร้านหนึ่งออกมา

"มีอะไรหรือพี่ หนูกำลังดูทรงผมพวกผู้ชาย" สาวสวยจากไทยรัฐทำหน้างงๆ ก่อนที่หน้าคงชาไปทั้งแถบ เมื่อไกด์อธิบายว่านั่นไม่ใช่ร้านตัดผม แต่เป็นพวกขายบริการและราคาที่ติดไว้ข้างล่างก็ไม่ใช่ราคาค่าตัดผม แต่เป็นค่าชั่วโมง การที่ไปยืนชี้อย่างนั้นพนักงานอาจเข้าใจผิดและจะเชิญไปเจอตัวจริงข้างใน

นอกจากแฟชั่นที่จะได้ดูอย่างน่าตื่นตาตื่นใจแล้ว การขายบริการในรูปแบบต่างๆ มีให้เห็นมากมายในย่านนี้ บางร้านมีผู้ชายนุ่งยีนส์ ใส่เสื้อกล้าม เดินไปมาเรียกแขกหน้าร้าน บางร้านมีผู้หญิงแต่งตัวรัดรูปชวนมอง โดยมีหนุ่มออฟฟิศสวมสูทผูกไท หิ้วกระเป๋าเอกสารเดินเข้าออกตลอดเวลา ดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาเช่นเดียวกับเซ็กซ์ช็อปของเมืองนี้ ที่ไม่ได้เป็นเรื่องปกปิดหรือเป็นย่านเฉพาะแต่อย่างใด แต่อาจจะวางขาย ถัดไปจากมุมขายของเล่นหรือเครื่องเขียนก็ได้ มีอุปกรณ์ขายกันอย่างเปิดเผยอย่างนี้นี่เอง จึงเห็นพ่อแม่วัยรุ่นหลายคู่ในญี่ปุ่น อุ้มตุ๊กตาตัวเป็นๆ เดินผ่านไปมาหลายคู่ สะท้อนให้เห็นสภาพสังคมของชาวญี่ปุ่นยุคนี้ได้ชัดเจน

กลิ่นขนมข้างทางลอยมาแตะจมูก เห็นคนยืนเข้าคิวเรียงแถวยาวอย่างที่ปฏิญญา ควรตระกูล เคยเล่า คงเป็นอย่างนี้เองว่าเจอขนมไข่ "Egg tarts" ร้านหนึ่งในฮ่องกงมีคนต่อแถว รอซื้อยาวเหยียดจนต้องซื้อสูตรและเครื่องมือมาเปิดร้าน "ขนม" ที่สยามสแควร์ซอย 3 แต่ขนมที่เห็นเป็นแป้งกรอบๆ ทำเป็นกรวย ด้านในมีไอศกรีมผลไม้และครีม กลิ่นหอมจนต้องเข้าแถวซื้อบ้าง ก็อร่อยดีและจะอร่อยกว่านี้มาก ถ้าราคาจะถูกกว่าชิ้นละ 400 เยน หรือประมาณ 150 บาท (100 เยน ประมาณ 38 บาท) แต่คงเป็นไปไม่ได้เพราะกำลังเดินชอปปิ้งอยู่ในเมืองที่ค่าครองชีพสูงเป็นอันดับหนึ่งของโลก

น่าเสียดายที่พอเดินห่างมาหน่อย กลิ่นหอมถูกกลบด้วยกลิ่นบุหรี่ โอซากามีตู้หยอดเหรียญขายบุหรี่มากมายเกือบทุกมุมถนน ทราบว่าสถิติของผู้ชายที่สูบบุหรี่มีถึง 52 เปอร์เซ็นต์ และผู้หญิงที่สูบบุหรี่มีสูงมากถึง 48 เปอร์เซ็นต์ โดยไม่มีป้ายห้ามสูบบุหรี่อยู่ที่ไหนเลยทุกคนสูบได้อย่างมีอิสรเสรี ในร้านค้า ร้านอาหาร ตามถนนหนทาง เสียดายไม่มีตัวเลขว่าที่นี่มีคนเสียชีวิตจากบุหรี่มากน้อยแค่ไหน

ทุกคนมีความรู้สึกว่าตลอดเวลาที่อยู่ในเมืองโอซากา หายใจได้ไม่เต็มที่นัก ทั้งๆ ที่เมืองนี้ตั้งอยู่บนปากน้ำโยโด และอยู่บนเกาะ

โอซากา เป็นเมืองใหญ่อันดับสอง รองจากเมืองโตเกียว เป็นเมืองอุตสาหกรรมที่เต็มไปด้วยผู้คน แม้จะมีสถานีรถไฟใต้ดินมากมาย มีทางด่วนซ้อนกัน 2-3 ชั้น แต่บนถนนก็ยังเต็มไปด้วยรถติดยาวเหยียดในช่วง เช้าเย็น คนส่วนหนึ่งจึงนิยมขี่จักรยาน ที่เช่าจอดรถจักรยาน 2 ชั้น ริมทางมีให้เห็นเป็นระยะๆ และที่สำคัญทางเท้าคนเดินต้องใช้ร่วมกันกับรถจักรยาน ดังนั้นข้ามถนนต้องระวังรถ เดินริมถนนก็ต้องระวังจักรยานเช่นกัน

ที่ท่องเที่ยวยอดฮิตนอกจากแหล่งชอปปิ้งแล้ว คงจะเป็น Aquarium ขนาดใหญ่ ติดอันดับโลกริมทะเล ที่มีปลาและสัตว์แปลกๆ จำนวนมากมาย ทั้งปลาโลมา แมวน้ำ นากทะเลที่ดำน้ำผลุบๆ โผล่ๆ เล่นกับคนดูอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ส่วนปลาฉลามวาฬขนาด ใหญ่ก็ว่ายวนเวียนไปมาอย่างช้าๆ เป็นเจ้าพ่อ ปลา ในขณะที่ปลาเล็กปลาน้อยว่ายตามเป็นบริวารฝูงใหญ่ โชคดีวันนั้นได้เห็นการให้อาหาร นกเพนกวินที่เดินปัดเป๋ไปมาอย่างน่ารัก ส่วน ปูแมงมุมเกาะพื้นน้ำนิ่ง เหมือนหุ่นยนต์มากมายหลายตัว แต่ที่ต้องเกาะตู้ยืนดูอยู่นานเป็นพิเศษ คือแมงกะพรุนที่สีสันสวยงามราวกับการแต่งแต้มโดยจิตรกร

ที่นี่เป็นจุดขายสำคัญอีกแห่งหนึ่งของเมืองโอซากา มีนักท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศ เข้าเยี่ยมชมตลอดทั้งวันราคาค่าเยี่ยมชม เด็กคนละ 700 เยน ผู้ใหญ่คนละ 1,200 เยน ส่วนบ้านเราคงต้องคอยดูโครงการใหญ่ที่ได้นักลงทุนจากออสเตรเลียที่จะมาสร้างโลกใต้น้ำไว้ที่สยามพารากอน กำหนดเปิดประมาณต้นปีหน้า

สถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งคือปราสาท โอซากา ซึ่งสร้างขึ้นในปี 1568 ปัจจุบันภายใน ปราสาทได้ทำเป็นพิพิธภัณฑ์ แสดงวัตถุอนุสรณ์ เอกสารเก่าแก่ที่เกี่ยวกับเมืองโอซากา และเรื่องราวความเป็นมาของปราสาทและตระกูลโทะโยะโทะ โดยมีการอธิบายเล่าเรื่องผ่านภาพ 3 มิติ ที่สร้างเป็นเรื่องราวอย่างน่าสนใจมาก

ลงจากปราสาท พบพระญี่ปุ่นยืนอยู่ตรงทางออก ทุกคนค้นหาเศษเงินเยนทำบุญ พร้อมอธิษฐานให้ทีมที่มาแข่งขัน Robo Cup ที่โอซากาผ่านเข้ารอบ

คำอธิษฐานได้ผล วันนั้นตอนค่ำก็รู้ผลว่า ทีมหุ่นยนต์กู้ภัยทำคะแนนเป็นอันดับ 4 สามารถเข้ารอบ 12 ทีมสุดท้ายจาก 25 ทีมทั่วโลก เตรียมเข้าชิงในรอบรองชนะเลิศต่อไป

การมาทำข่าวที่ต้องสวมวิญญาณกองเชียร์จากประเทศไทย ทำให้สนุกกว่าทุกครั้งและการไปเที่ยวนี้ต้องยอมรับว่า สนุกกับการได้ทานอาหารซึ่งเป็นอาหารญี่ปุ่นแทบทุกมื้อด้วย

ข้าวปั้นไส้ต่างๆ ซาซิมิ ปลาดิบ และอาหารสวยๆ จำลองเหมือนจริง พร้อมราคาที่ติดอยู่ในตู้โชว์ด้านหน้าถูกลำเลียงมาวางตรงหน้าในแต่ละมื้อ แต่ราคาค่อนข้างสูงประเภททานได้ทุกอย่างราคาละ 499 บาท ไม่มีให้เห็น

ได้ลองทานสุกี้ยากี้ต้นตำรับของญี่ปุ่น คือการรับประทานกับเนื้อวัวชิ้นบางๆ ที่หลายคนร้องขอเปลี่ยนเป็นเนื้อหมูแทน เสิร์ฟพร้อมผัก เต้าหู้ และวุ้นเส้น หรือเทมปุระ อาหารชุบแป้งทอดในน้ำมันจนกรอบ

ชาบู ชาบู อาหารฮิตของคนญี่ปุ่นทั้งที่มีเพียงเนื้อกับหมู และผักกาดขาวเท่านั้น นี่ลองคนญี่ปุ่นมาเจอหมูกระทะบ้านเราที่มีทั้งหมู ไก่ ปลา กุ้ง ปลาหมึก ลูกชิ้น และอีกสารพัดผัก รวมทั้งขนมและผลไม้อีกมากมาย ราคาเพียงหัวละ 79 บาท และไม่จำกัดเวลาในการทาน คงตะลึงไปเลย และที่สำคัญอาหารทุกมื้อที่นั่นอร่อยมาก เพราะได้น้ำพริกนรกที่ไกด์นำไปแจกทุกมื้อต่างหาก

ได้หายใจเต็มปอดครั้งแรกเมื่อออกนอกเมืองโอซากาไปยังเมืองเกียวโต เมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นศูนย์กลางความเจริญด้านศิลปวัฒนธรรมของชาติ เป็นศูนย์กลางด้านศาสนาและมีวัดกว่า 1,500 วัด และศาลเจ้าชินโตกว่า 300 แห่ง

ความหรูหราไฮเทคของสิ่งก่อสร้างและถนนหนทางเริ่มเลือนหายไป บรรยากาศของเมืองเก่าค่อยซ้อนทับเข้ามา ความเขียวของใบแปะก๊วย ใบเมเปิลญี่ปุ่น ริมทางสร้างความสดชื่นไล่ความรุ่มร้อนของอุณหภูมิหน้าร้อนที่สูงกว่า 30 องศาออกไปได้บ้าง

วันสุดท้ายมีโอกาสได้ไปเที่ยวเมืองนารา เมืองหลวงแห่งแรกของญี่ปุ่น ที่ยังมีกลิ่นอายของวัฒนธรรมหลงเหลืออยู่บ้าง มีเวลาไปเที่ยววัดโทไดจิ ฉายาวัดสวนกวางหรือ เรียกกันว่าหลวงพ่อโต เป็นพระคู่บ้านคู่เมืองกว่า 1,200 ปี ประดิษฐานอยู่ภายในวิหารไม้โบราณที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีกวางป่าจำนวนมากมาชุมนุมกันเองโดยธรรมชาติ

เสน่ห์จริงๆ ของญี่ปุ่น น่าจะอยู่ตรงที่ รัฐบาลพยายามรักษาความเป็นเมืองเก่าเอาไว้ วัด, ศาลเจ้า และปราสาทเก่าในเมือง จึงเป็นแหล่งศึกษาให้เยาวชนได้เรียนรู้เรื่องราวความเป็นมาของบรรพบุรุษ ขนบธรรมเนียมประเพณี ก่อนที่จะเลือนหายไปเพราะต้านกระแสวัฒนธรรมตะวันตกไม่ไหว   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us