|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ศูนย์วิเคราะห์ เศรษฐกิจมหภาค ธนาคารกรุงเทพ ประเมินภาวะราคาน้ำมันดิบที่ยังพุ่งสูงเฉียด 70 เหรียญต่อบาร์เรล มาจากดีมานด์ในตลาดโลกที่เพิ่มมากขึ้น เชื่อแตะระดับสูงสุดปลายปีนี้ พร้อมคาดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดครึ่งปี หลังของไทยขาดดุลลดลง ทั้งปีจะติดลบ 4,000-6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จีดีพีโตระดับ 3.5-4%
นายบันลือศักดิ์ ปุสสะรังษี ผู้อำนวยการศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL เปิดเผย ถึงภาวะราคาน้ำมันที่ยังสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องกว่าระดับ 68 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลว่า มาจากความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มมากขึ้น แต่ราคาน้ำมันจะอยู่ในระดับที่สูงที่สุดในปลายปีนี้ เนื่องจากเป็นฤดูหนาวซึ่งเป็น ช่วงที่จะใช้พลังงานสูง
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ปริมาณนำเข้าน้ำมันในประเทศเริ่มชะลอตัวลงมาแล้ว ซึ่งจะเห็นได้จากอัตราการเติบโตของการ นำเข้าอยู่ระดับต่ำกว่า 30% แล้ว เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า เพราะที่ผ่านมาได้มีการนำเข้าน้ำมันและสินค้าทุนเป็นจำนวนมากแล้ว ซึ่งการนำเข้าที่ลดลง จะช่วยให้การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
โดยศูนย์วิเคราะห์ฯ คาดว่า ไทยจะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2548 ประมาณ 4,000-6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นประมาณ 2-3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ขณะที่ จีดีพีทั้งปีโตประมาณ 3.5-4.0%
"การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยในปีนี้คงเริ่มลดลง เพราะปริมาณการนำเข้าเริ่มชะลอตัวลง ประกอบกับการส่งออกของไทยขยายตัวดีขึ้น ซึ่งคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังการส่งออกน่าจะขยายตัวถึง 18-20% แต่ทั้งปีจะถึง 20% หรือไม่นั้นยังไม่แน่ใจ เนื่องจากเศรษฐกิจต่างประเทศอย่างสหรัฐฯ และจีนยังขยายตัว ในเกณฑ์ดีอยู่" นายบันลือศักดิ์ กล่าว
นายบันลือศักดิ์กล่าวอีกว่า เศรษฐกิจโลกปี 2549 จะชะลอตัวลงอย่างแน่นอน โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐฯที่จะเห็นผลกระทบทางเศรษฐกิจจากภาวะอัตราดอกเบี้ยที่ได้ปรับขึ้นไปแล้ว ซึ่งคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯปีหน้าจะโตเพียง 2.5-3.0% เท่านั้น เมื่อเทียบกับปีนี้ที่คาดว่าจะขยายตัวประมาณ 3.5% นอกจากนี้ เศรษฐกิจจีนก็จะชะลอตัวเช่นเดียวกัน คาดว่าเติบโต 6-7% ขณะที่ปีนี้คาดว่าจะขยายตัว 9.5% เนื่องจากปีหน้าเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศไปจีนลดลง เพราะในปีนี้มีเงินต่างชาติเข้ามาเก็งกำไร ในค่าเงินหยวนของจีนจำนวนมาก
นายบันลือศักดิ์กล่าวทิ้งท้าย ว่า มาตรการกระตุ้นการออมเงิน ในประเทศไทย เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยลดปัญหาการขาดดุล บัญชีเดินสะพัดของไทย ซึ่งมีหลายแนวทางที่จะกระตุ้นการออม เช่น นโยบายลดหย่อนภาษี การประกันชีวิต และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ รวมทั้งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเพื่อจูงใจให้ประชาชนหันมาสนใจฝากเงินเพิ่ม
|
|
|
|
|