จับตาเหมราชฯเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจอสังหาฯ เพื่อลดความเสี่ยงจากธุรกิจการขายที่ดินและบริการระบบสาธารณูปโภค ขณะที่แผนลงทุนโครงการแห่งที่ 2 ใกล้ได้ข้อสรุป คาดจะเป็นส่วนเกื้อหนุนรายได้ พร้อมเร่งพัฒนาเขตอุตสาหกรรม 2 แห่งของบริษัทเอส ไอ แอลฯ รองรับลูกค้ากลุ่มรถยนตร์ อิเลคทรอนิกส์ และธุรกิจพลาสติกและโพลีเมอร์
นายวิวัฒน์ จิรัฐติกาลสกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด(มหาชน) เปิดเผยถึงแผนการเพิ่มสัดส่วนรายได้ของบริษัทฯ ว่า ปัจจุบันโครงสร้างรายได้ของบริษัท แบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักๆคือ รายได้จากการขายและพัฒนาที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม ประมาณ 40% , รายได้จากการให้บริการระบบสาธารณูปโภค 30% และรายได้จากภาคอสังหาริมทรัพย์ 20% ซึ่งภายในปี 2550 (2007) โครงสร้างรายได้ของบริษ้ทจะปรับเปลี่ยนไป เพื่อเป็นการบริหารความเสี่ยงของธุรกิจ โดยสัดส่วนรายได้ทั้ง 3 กลุ่ม เฉลี่ยจะอยู่ที่ 33%
ทั้งนี้ ตามแผนแล้วในปี 2549 รายได้จากการขายที่ดินในนิคมจะเติบโตถึง 2 เท่าของจีดีพี รายได้โรงงานสำเร็จรูปเพื่อให้เช่าและขาย (ในส่วนของระบบสาธารณูปโภค) โต15-20% ซึ่งหลักๆ มาจากการลงทุนของต่างประเทศ 95% ที่เหลือเป็นส่วนของผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและย่อมของไทย 5% ขณะที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีโครงการที่บริหารอยู่เพียงแห่งเดียว คือ เดอะพาร์ค ชิดลม คาดว่าปี 49 จะปิดการขายได้ทั้งหมด จากปัจจุบันมียอดขายแล้ว 70% ของมูลค่าโครงการ มียอดรับรู้รายได้ 20% ขณะเดียวกัน บริษัทกำลังศึกษาแผนที่จะพัฒนาโครงการใหม่ภายใต้แบรนด์ "เดอะพาร์ค" ในบริเวณย่านใจกลางเมืองขนาดเนื้อที่ 5-6 ไร่ มูลค่าโครงการประมาณ 2,600 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดโครงการได้กลางปี 49
สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 97.2 ล้านบาท เป็นกำไรจากการดำเนินงานจำนวน 78.1 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา ผลกำไรสุทธิที่ลดลงจำนวน 91.7ล้านบาท เป็นผลจากการลดลงของกำไรที่ไม่ได้มาจากการดำเนินงานจำนวน 111.2ล้านบาท ที่รับรู้จากการปรับประเมินมูลค่าที่ดินและอื่นๆ ในปี 2547
ขณะที่รายได้รวมในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ มีจำนวน 1,242.3 ล้านบาทเมื่อเปรียบเทียบกับ ช่วงเวลาเดียวกันของปี 2547 จำนวน 1,186.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น5% บริษัทฯมีรายได้จากธุรกิจหลักจำนวน 1,220 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 234.6 ล้านบาท หรือ 24% เทียบกับปีที่ผ่านมา มีกำไรสุทธิรวม 299.5 ล้านบาท เป็นกำไรที่เพิ่มขึ้นจากการดำเนินงานจำนวน 111.2 ล้านบาทหรือเทียบเท่า 70% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่าน โดยมาจากรายได้ในการเช่าพื้นที่โรงงานสำเร็จรูปที่เพิ่มขึ้นและจากยอดขายคอนโดมิเนียม ผลกำไรสุทธิที่ลดลงจำนวน 180.6ล้านบาท เป็นผลจากการลดลงของรายได้ที่ไม่ได้มาจากการดำเนินงานจำนวน 310.6ล้านบาท ที่รับรู้จากการปรับประเมินมูลค่าที่ดิน การขายเงินลงทุน การปรับโครงสร้างหนี้ และอื่นๆ
วิวัฒน์ กล่าวถึงความคืบหน้าของการบริหารเขตอุตสาหกรรมของบริษัท เอส ไอ แอล ที่ดินอุตสาหกรรม จำกัด (เอสไออแอล) หลังจากที่ได้ซื้อหุ้นจำนวน 25% ในบริษัท ซึ่งเป็นธุรกิจในเครือปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) SCC โดยมีแผนพัฒนาเขตอุตสาหกรรมทั้ง 2 แห่ง ให้เป็นพื้นที่การลงทุนอุตสาหกรรมด้าน อิเลคทรอนิกส์ ,รถยนต์ และพลาสติกและโพลีเมอร์ แยกเป็นส่วนเขตอุตสาหกรรมเอส ไอ แอล จะผลักดันให้เป็นเขตอุตฯปลอดภาษี หรือเป็นเขตที่ได้รับการส่งเสริมจากบีโอไอ ที่ได้รับยกเว้นภาษีการนำเข้าเครื่องจักรได้ 100% ยกเว้นภาษีนำเข้าวัตถุดิบหรือส่วนประกอบสำคัญที่ใช้ในการผลิตเพื่อการส่งออกเป็นเวลา 1 ปี และยกเว้นภาษีรายได้เป็นระยะเวลา 10 ปี ขณะนี้ บริษัทได้ติดต่อกรมศุลากรในการจัดตั้งเขตปลอดภาษีในเขตอุตฯเอส ไอ แอล จำนวน 450 ไร่ คาดว่าจะได้รับการอนุญาตภายในระยะ 2 เดือนจากนี้
" เป้าหมายในการพัฒนาเขตประกอบอุตสาหกรรม เอส ไอ แอล ให้เป็นศูนย์สำหรับอุตสาหกรรมอิเลคทรอนิกส์ และศูนย์โลจิกติกส์โดยที่ผ่านมามีบริษัทเอกชนสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในเขตอุตสาหกรรมดังกล่าว เนื่องจากเป็นเขตปลอดอากร ทำให้บริษัทมั่นใจว่า ในอนาคตเขตอุตฯเอส ไอ แอล จะประสบความสำเร็จ "นายวิวัฒน์ กล่าว
ดังนั้น ในอนาคตอาจะเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท เอส ไอ แอลฯ ครบ 100% ภายใต้เงื่อนไขสามารถสร้างผลประกอบการที่ดี โดยในระยะ 5 ปีแรก บริษัทได้มีขัอตกลงกับปูนซีเมนต์ไทย ในการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นได้โดยไม่จำกัด
สำหรับ เขตอุตสาหกรรมเอส ไอ แอล อินดัสเตรียลแลนด์ (สระบุรี) มีพื้นที่ในการพัฒนาทั้งสิ้น 3,655 ไร่ โดยในช่วงก่อนที่บริษัทเหมราชฯจะเข้ามาบริหารการขาย มีการขายที่ดินไปแล้ว 300 ไร่ และเป็นส่วนที่เหมราชฯจะดำเนินการขายได้ประมาณ 100 ไร่ (เข้ามารับหน้าที่การขายไตรมาส 2 ที่ผ่านมา) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญาการขายกับผู้ลงทุน โดยมีการประเมินว่าทั้งปีจะมียอดขายรวมไม่เกิน 400 ไร่ ส่วนของเขตอุตสาหกรรมระยอง ไอ แอล อินดัสเตรียลแลนด์(RIL) มีพื้นที่ในการพัฒนา 3,468 ไร่ ซึ่งเอส ไอ แอล ถือหุ้นเต็ม 100% ในRIL
|