Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน25 สิงหาคม 2548
เปิดFTAญี่ปุ่นขาดดุลทันทีแสนล.             
 


   
search resources

Commercial and business
FTA




นักวิชาการยำใหญ่เอฟทีเอไทย-ญี่ปุ่น เผยเซ็นสัญญาปุ๊บไทยขาดดุลการค้าทันที 1.45 แสนล้านบาท เพราะญี่ปุ่นที่ดูเหมือนจะเปิดตลาดให้สินค้าไทยมาก และไทยเปิดให้น้อย แต่ไส้ในมูลค่ากลับต่างกันลิบลับ เสนอแนะ "ทักษิณ" ตั้งสำนักงานดูแลมาตรฐานสินค้านำเข้าเป็นวาระแห่งชาติ สกัดสินค้าด้อยคุณภาพภายใต้เอฟทีเอเข้าถล่มไทย ส.อ.ท.เผยล่าสุดแหล่งกำเนิดสินค้าเกษตรอีก 229 รายการยังคุยไม่จบ ด้าน "พิศาล" ถูกนายกฯ เรียกตัวด่วน หมดโอกาสชี้แจง เกษตรกรภาคเหนือถอดบทเรียนเจ็บปวดเปิดเสรีค้าไทย-จีน

นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยในการสัมมนา FTA ไทย-ญี่ปุ่น : ประเทศไทยจะได้ประโยชน์หรือผลกระทบอะไร ที่จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ วานนี้ (24 ส.ค.) ว่า ในปี 2547 ที่ผ่านมา ไทยขาดดุลการค้ากับญี่ปุ่นเป็นมูลค่า 350,000 ล้านบาท และขาดดุลมาตลอด 30 ปี ตั้งแต่ปี 2517 เป็นต้นมา ดังนั้น จึงอยากให้รัฐบาลชี้แจงว่าในการทำเอฟทีเอกับญี่ปุ่นเพื่ออะไร ต้องการแค่การขยายตัวของมูลค่าการค้า การขยายตัวของเศรษฐกิจ หรือสามารถลดการขาดดุลการค้าต่อญี่ปุ่นได้หรือไม่

ทั้งนี้ แม้การทำเอฟทีเอ ญี่ปุ่นจะเปิดตลาดสินค้าและบริการให้ไทยจำนวนมาก เมื่อเทียบกับจำนวนรายการสินค้าที่ไทยเปิดตลาดให้ญี่ปุ่น แต่มูลค่าการส่งออกสินค้าที่ญี่ปุ่นเปิดให้ไทยนั้นน้อยมากเมื่อเทียบกับสินค้าที่ไทยเปิดให้ญี่ปุ่น โดยสินค้าที่ญี่ปุ่นเปิดให้ไทยมีมูลค่าส่งออกรวม 85,000 ล้านบาท แต่ไทยเปิดให้ญี่ปุ่น 230,000 ล้านบาท

"เมื่อเปิดเอฟทีเอ คิดในส่วนของสินค้าที่จะมีการเปิดตลาดให้แก่กัน ไทยจะขาดดุลการค้าทันที 145,000 ล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นว่าที่ญี่ปุ่นเปิดตลาดให้ไทยดูเหมือนจะมาก และไทยเปิดให้ญี่ปุ่นน้อย แต่เมื่อดูมูลค่าการค้าขายระหว่างกัน ไทยเสียเปรียบมาก"นายอัทธ์กล่าว

นายอัทธ์กล่าวว่า สำหรับสินค้าเกษตรที่มีการพูดกันในเรื่องกฎแหล่งกำเนิดสินค้า ซึ่งเห็นด้วยว่าไทยอย่าไปยอม ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็ไม่ต้องเซ็นสัญญา และอยากจะขอเตือนว่ารัฐบาลเคยคำนึงหรือไม่ว่าญี่ปุ่นมีกฎหมายที่เป็นมาตรการกีดกันการค้าที่มิใช่ภาษี (NTBs) มาก โดยเฉพาะมาตรการสุขอนามัยพืชและสัตว์ ซึ่งครอบคลุมทั้งอาหาร พืช ยา โรคสัตว์ โดยสินค้าไทยยังไม่ผ่านมาตรการนี้เลย ที่สำคัญไม่ได้มีการนำเรื่องนี้มาอยู่บนโต๊ะเจรจา แม้จะเปิดเอฟทีเอก็ไม่มีประโยชน์เพราะสินค้าไทยยังถูกกีดกันนำเข้าอยู่ดี

"รัฐบาลไทยจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องมาตรฐานสินค้าทั้งเกษตร อุตสาหกรรม และบริการ โดยจะต้องจัดเป็นวาระแห่งชาติ มีการจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาดูแลโดยเฉพาะ และอยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เรียกหารือภาคเอกชนทั้งสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เพื่อร่วมกันหามาตรการดูแลเรื่องมาตรฐานสินค้าที่จะนำเข้าภายใต้เอฟทีเอ" นายอัทธ์กล่าว

นายสมพงษ์ ตันเจริญผล รองประธานส.อ.ท. กล่าวว่า ขณะนี้ยังมีสินค้าเกษตรอีก 229 รายการจากทั้งหมด 727 รายการที่ยังตกลงเรื่องแหล่งกำเนิดสินค้าไม่ได้ หรือคิดเป็นมูลค่าส่งออกสินค้าดังกล่าว 42,000 ล้านบาทจากมูลค่าส่งออกรวม 727 รายการ 72,000 ล้านบาท ซึ่งหากตกลงกันได้ จะทำให้มูลค่าส่งออกสินค้าเกษตรของไทยไปญี่ปุ่นได้มากกว่านี้

ส่วนการเปิดเสรีในกลุ่มไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์นั้น ส.อ.ท.มองว่า ปัจจุบันนี้ญี่ปุ่นลงทุนในจีนเป็นอันดับ 1 รองลงมา คือไทย และกว่า 40% ของนักลงทุนที่ญี่ปุ่นที่ลงทุนในไทยเป็นกลุ่มยานยนต์ และอีก 20% เป็นกลุ่มไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งผลจากเอฟทีเอจะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางรถยนต์ อะไหล่ ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าในภูมิภาคนี้ได้ ซึ่งจะมีเงินไหลเข้ามากมาย แต่ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้ประกอบการของไทยจะปรับตัวให้มีความ สามารถในการแข่งขันได้อย่างไร

"ในเรื่องของภาษีที่จะสูญทันที 10,000 ล้านบาทในปีแรก และเสียรายได้ภาษี 42,000 ล้านบาทในอีก 10 ปีข้างหน้า ไม่อยากให้มองอย่างนั้น เพราะญี่ปุ่นเองก็จะเสียรายได้จากการปรับลดภาษีให้ไทยเช่นกัน แต่ผู้ผลิตจะได้ประโยชน์ในแง่ของการลดต้นทุนการผลิต ที่จะมีแหล่งวัตถุดิบราคาถูก นำเข้ามาผลิตสินค้าเพื่อส่งออก ส่วนผู้บริโภคจะได้บริโภคสินค้าที่ราคาถูกลง"นายสมพงษ์กล่าว

ทั้งนี้ ตามกำหนดการสัมมนาครั้งนี้ นายพิศาล มาณวพัฒน์ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะหัวหน้าคณะเจรจาเอฟทีเอไทย-ญี่ปุ่น จะต้องมาร่วมในการบรรยายด้วย แต่ทางฝ่ายผู้จัดได้แจ้งว่านายพิศาลถูก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เรียกพบกะทันหันที่ทำเนียบรัฐบาล ทำให้ไม่สามารถมาชี้แจงได้ จึงทำให้การสัมมนาในวันนี้ จึงมีแต่ภาคเอกชนและนักวิชาการที่พูดถึงการทำเอฟทีเอไทย-ญี่ปุ่น เป็นครั้งแรก หลังจากที่ก่อนหน้านี้ กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้จัดงาน และได้มีการเปลี่ยนกำหนดการพูดของเอกชนและนักวิชาการออกกระทันหัน

ภาคเกษตรรับผลกระทบค้าเสรีเต็มๆ

ในวันเดียวกันนี้ นายพิษณุ เหรียญมหาสาร ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวในงานเสวนาวิชาการเรื่องการค้าเสรี : ตัวแปรแนวโน้มเกษตรกรรมในภูมิภาค จัดโดยชมรมศิษย์เก่าบูรณะชนบทและเพื่อน ว่า การทำเอฟทีเอไทย – จีน ไม่มี เพราะการเปิดเสรีที่เกิดขึ้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเก็บเกี่ยวล่วงหน้า Early Harvest Program ตามข้อตกลงเปิดค้าเสรีอาเซียน-จีน ที่จะมีการลดภาษีลงเหลือ 0-5% ภายในปี 2010 สำหรับประเทศสมาชิกอาเซียนเก่า 6 ประเทศ และ ภายในปี 2015 สำหรับประเทศสมาชิกอาเซียนใหม่ และจะยังมีการลดภาษีแบบ Fast track สำหรับประเทศในกลุ่มอาเซียนภายในปี 2007

ส่วนผลกระทบที่ถูกกล่าวถึงอย่างมากกรณีการนำเข้ากระเทียม แท้จริงแล้วไม่ได้เกิดขึ้นจากการเปิดเสรีไทย-จีน เพราะกระเทียมยังเป็นสินค้าอ่อนไหวที่ได้รับการปกป้องภายใต้มาตรการโควตาภาษีขององค์การการค้าโลก โดยมีการควบคุมโควตานำเข้าไว้ที่ 100 ตัน จ่ายภาษีที่ร้อยละ 20% ส่วนการนำเข้าเกินโควตายังต้องเสียภาษีในอัตราสูงคือ 57% ดังนั้น การที่ราคากระเทียมตกต่ำจึงไม่ได้เป็นผลกระทบจากการเปิดเสรีแต่อย่างใด

นายพิษณุ ยังกล่าวว่า ภายใต้การเปิดเสรีอาเซียน-จีนยังยืดหยุ่นให้มีการกำหนดรายการสินค้าอ่อนไหวอีกประเทศละ 400 รายการ ซึ่งแต่ละประเทศสามารถกำหนดสินค้านั้นได้เอง ในท้ายที่สุด เกษตรกรต้องปรับตัว และหากปรับตัวไม่ได้ก็ต้องหันไปผลิตอย่างอื่น

ด้านนางสาวสุพาณี ธนีวุฒิ นักวิจัยจากชมรมศิษย์เก่าฯ กล่าวว่า หลังการลงนามเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ในปี 1992 ยังมีความพยายามผลักดันเปิดเสรีในอีกหลายข้อตกลงทั้งระดับองค์การการค้าโลก และระดับทวิภาคี น่าสังเกตว่า ประเทศที่เป็นสมาชิก WTO ส่วนใหญ่จะมีการเปลี่ยนแปลงด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจเข้มข้นมากกว่าประเทศที่ไม่ได้เป็นสมาชิกอย่างลาว หรือเวียดนาม แต่ทิศทางแนวโน้มล้วนมุ่งสู่การเปิดเสรีทั้งสิ้น

ส่วนผลของการเปิดเสรีในระยะ 12 ปีที่ผ่านมา ไม่พบความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจระดับมหภาคที่ชัดเจน การส่งออกและนำเข้าสินค้าภายในกลุ่มอาเซียนมีความเปลี่ยนแปลงน้อย ยังคงพึ่งพาเศรษฐกิจ/การลงทุนจากต่างประเทศเป็นหลัก ดังนั้น การเปิดเสรีจึงเป็นการทำให้อาเซียนพึ่งพาภายนอกมากกว่าการสร้างความเข้มแข็งภายใน แต่ผลกระทบต่อเกษตรกรชัดเจน แม้จะไม่สามารถกล่าวได้ว่าเป็นผลจากเขตการค้าเสรีอาเซียนโดยตรงแต่พบว่าเกษตรกรอยู่ในภาวะยากจน เป็นหนี้ และไม่มีอำนาจต่อรอง ซึ่งเป็นลักษณะร่วมของเกษตรกรทั้งภูมิภาค

วิ่งตามตลาดบทเรียนล้มเหลวซ้ำซาก

นางดวงทิพย์ ต๊ะวนา เกษตรกรจากอำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ในอดีตเคยทำนาปลูกข้าว และปลูกลำไยที่หัวไร่ปลายนา ซึ่งเมื่อลำไยมีราคาดีขึ้นก็เปลี่ยนที่นามาเป็นสวนลำไย แต่มาถึงปัจจุบันราคาลำไยเหลือเพียงกิโลกรัมละ 4-5 บาท ทั้งที่เคยขายได้มากกว่ากิโลกรัมละ 160 บาท ทำให้เป็นหนี้

เกษตรกรอำเภอสารภี บอกว่า สภาพตลาดลำไยปัจจุบันถูกควบคุมโดยพ่อค้าคนจีนเกือบหมดแล้วหลังจากที่มีการเปิดเสรีมีพ่อค้าจีนจำนวนมากเข้ามาลงทุนซื้อลำไยจากเกษตรกรเพราะมีสายต่อทางการตลาดโดยตรงกับตลาดในประเทศจีน ซึ่งในระยะแรกจะซื้อลำไยในราคาแพงกว่าพ่อค้าไทยเล็กน้อย แต่ต่อมาเมื่อควบคุมตลาดได้ก็กดราคาลง ราคาลำไยปัจจุบันสามเกรด AA, A และ B อยู่ที่ 9, 4 และ 2 บาท มานานกว่า 2 ปีแล้ว พ่อค้าไทยที่เคยรับซื้อ ก็ขาดทุนทำให้เลิกซื้อ สาเหตุของการขาดทุนมาจากสินค้าถูกตีกลับด้วยมาตรการที่ไม่ใช้ภาษี เมื่อขาดทุนซ้ำกันเพียง 2 ฤดูก็หมดเงินทุนที่จะมาซื้อลำไยจากชาวบ้านอีก ทำให้ปัจจุบันทำให้เหลือแต่พ่อค้าจีนเข้ามารับซื้อ

“การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรบอกว่านำพ่อค้าจีนเข้ามาซื้อลำไยและแก้ไขปัญหาราคาลำไยตกต่ำ ขอยืนยันว่าพ่อค้าที่เข้ามาเป็นพ่อค้าจีนเดิมที่เข้ามารับซื้ออยู่แล้วไม่ได้เป็นเจ้าใหม่” นางดวงทิพย์ กล่าว

นอกจากนี้ มาตรการที่ให้เงินกู้กับสหกรณ์เพื่อมาซื้อลำไยในราครที่สูงกว่าราคาตลาดกลับเป็นการทำให้เกษตรกรมีภาระ เพราะเมื่อซื้อลำไยไปแล้วไม่ทราบว่าจะเอาลำไยไประบายที่ไหนเนื่องจากว่าตลาดในเมืองจีนมีผลผลิตราคาถูกที่พ่อค้าจีนซื้อไว้อยู่แล้ว หลายสหกรณ์จ่ายเพียงใบประทวนสินค้าไม่ได้จ่ายเงินสดให้กับเกษตรกรเพราะไม่ต้องการขาดทุน

“นโยบายที่รัฐให้เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตามความต้องการของตลาด เป็นบทเรียนซ้ำซากที่เรารู้อยู่แล้ววันนี้สิ่งที่บอกกับเพื่อนเกษตรกรคือการรักษาตัวรอด ปลูกเพื่ออยู่เพื่อกินให้ได้จะให้ไปแข่งขันไม่มีทางชนะ” นางดวงทิพย์ กล่าว   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us