โจรเสื้อนอกยังลอยนวล
ธุรกิจสายการบินเริ่มล้ม
บริษัทยังล้มละลายเพิ่ม
ต้นกันยายน 2002 ในวาระครบรอบปี วันตึกถล่ม 11 กันยา 2001 เหตุการณ์ในรอบ
เดือนล่าสุด ขณะที่จอร์จ บุช กำลังสาละวน กับการโค่นล้มซัดดัม ฮุสเซ็น
การดำเนินการลงฑัณฑ์โจรเสื้อนอก กรณีของ Enron-Adelphia-WorldCom ยังอยู่เพียงแค่ขั้นตอนการสอบปากคำ
และพวกเขาส่วนใหญ่ไม่รับผิด คณะสอบสวนยังพบวิธีการฉ้อมหาชนอีกมาก เช่น การที่บริษัทเงินทุน
แจกหุ้นให้ลูกค้าในราคากำนัล ที่ทำกำไรให้รายละหลายล้านดอลลาร์
ภาคธุรกิจสายการบินของอเมริกาบางบริษัทที่รัฐอุ้มมาตั้งแต่เกิดเหตุร้าย
เริ่มออกข่าวว่าไม่สามารถพยุงธุรกิจได้
ส่วนภาวะรวมของตลาดหุ้นไม่ทรุดอย่างช่วงแรกๆ แต่ก็ทรงตัวแบบหมิ่นเหม่ ล่าสุดหนึ่งในบริษัทกลุ่ม
Nasdaq ยังประกาศล้มละลายปิดท้าย
ต่อไปนี้เป็นการรายงานต่อเนื่องจากที่ผ่านมา ซึ่งหลายเดือนหลัง เราได้เกาะติดข่าวสถานการณ์ฉ้อฉลของนักบริหารบริษัทยักษ์ใหญ่
ที่ทำให้ดัชนีหุ้นของอเมริการ่วงอย่างมาก
โจรเสื้อนอกยังลอยนวล
เปิดฉากในวันที่ 7 สิงหาคม แซมมวล แวกแซล วัย 54 ปี อดีตหัวหน้าฝ่ายบริหารบริษัทยา
ImClone Systems ได้ถูกแจ้งข้อหาฉ้อฉลหุ้น ด้วยการใช้ข้อมูลภายใน ที่เขาเทหุ้นขาย
รวมทั้งแจ้งญาติมิตร หลังรับทราบว่ายารักษาโรคมะเร็งตัวใหม่ของบริษัทไม่ผ่านการรับรองของ
FDA เขาถูกจับมาตั้งแต่เดือนมิถุนายนและได้รับการประกันตัวออกไป เขายังถูกแจ้งข้อหาทำลายหลักฐาน
และให้การเท็จต่อเจ้าหน้าที่ด้วย
เหตุการณ์ฉ้อหุ้นเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคม โดยเขาได้รับแจ้งเรื่องจากฮาร์แลน
น้องชาย ซึ่งตอนนั้น เป็นหัวหน้าฝ่ายดำเนินงาน และปัจจุบันรับตำแหน่งแทน
เขา แวกแซลได้ขายหุ้น 79,797 หุ้น และแจ้งข่าวต่อพ่อ และน้องสาว รวมทั้งยังตกเป็นผู้ต้องสงสัยแจ้งข่าวต่อ
Martha Stewart สาวนักประดิษฐ์ของใช้ในบ้านคนดัง ซึ่งเทขายหุ้นเกือบ 4,000
หุ้น เพียงหนึ่งวันก่อนที่สาธารณชนจะทราบข่าวนี้ เธอปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด
และต่อมาถูกฟ้องโดยกลุ่มผู้ถือหุ้นสาธารณะของบริษัทเธอเอง Martha Stewart
Living Omnimedia
อีกสัปดาห์ต่อมา หลังถูกแจ้งข้อกล่าวหาแซมมวล ได้ยืนยันต่อศาลไม่รับผิดตามข้อกล่าวหา
ซึ่งศาลจะตัดสิน ให้มีการพิจารณาสอบปากคำเพิ่มเติม ในวันที่ 25 ตุลาคม หากมีความผิดจริงเขาจะถูกจำคุก
7 ถึง 10 ปี
ในการสอบสวนทางการได้หลักฐานมากถึง 70 กล่อง และศาลได้กำหนดโทษที่จะจำคุกนายแวกเซลในวันที่
9 ธันวาคม แต่ต้องยกเลิกเมื่อผู้ต้องหายืนกรานปฏิเสธ โดยผู้ต้องหาออกมาแถลงว่า
เขาเชื่อในตัวยาที่ถูก FDA ห้ามขายว่าจะช่วยคนไข้โรคมะเร็งได้จำนวนมาก และเชื่อในอนาคตอันแข็งแกร่งของบริษัทที่อุทิศตนเพื่อการผลิตยา
มาถึงกรณีของ WorldCom ซึ่งเป็นผู้ทำสถิติล้มละลายที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา
และในโลก โดยมีหนี้สิน 40 พันล้านดอลลาร์ บริษัทกำลังถูกฟ้องโดยตลาดหลักทรัพย์อเมริกา
Scott Sullivan วัย 40 ปี หัวหน้าสำนักงานการเงินของ WorldCom ซึ่งถูกจับกุมเมื่อเดือนสิงหาคม
ได้ ถูกศาลแจ้งข้อหาฉ้อฉลหลอกลวง เมื่อวันที่ 4 กันยายน ในการย้อมบัญชีซ่อนรายจ่ายการดำเนินงาน
แปลงเป็นเงินลงทุน ทำให้บริษัทมีรายได้เกินจริงถึง 7.68 ล้านดอลลาร์ ช่วงเวลาเพียงปีครึ่ง
ตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2000 แต่เขาได้ยื่นปฏิเสธข้อกล่าวหา และยังได้รับการประกัน
ตัวต่อไปด้วยพันธบัตร 10 ล้านดอลลาร์ Scott ถูก World Com ไล่ออกในเดือนมิถุนายน
โดยบอกว่าเขาเป็นคนควบคุมการย้อมบัญชี
อดีตผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีทั่วไป บูฟอร์ด เยตส์ วัย 46 ปี ได้ยื่นขอไม่รับผิดด้วย
และได้ประกันตัวด้วยพันธบัตรส่วนบุคคล มูลค่า 500,000 ดอลลาร์ ก่อนหน้า นี้ทนายความของเยตส์บอกว่า
ลูกความของเขาไม่ถูกตั้งข้อหาแต่ประการใด
ชายทั้งคู่ถูกตั้งข้อหา 7 ข้อหาด้วยกัน หนึ่งในข้อหา คือ ฉ้อฉลตลาดหุ้น
เพื่อหวังการซื้อหรือขายหุ้น และรายงานปลอมต่อคณะกรรมการตลาดหุ้น การวางแผนฉ้อฉลมีโทษสูงสุดจำคุก
5 ปี และปรับ 250,000 ดอลลาร์ การยื่นความเท็จและโกงหุ้นมีโทษสูงสุดจำคุก
10 ปี และปรับ 1 ล้าน ดอลลาร์ รวมแล้วทั้งหมด Sulivan ต้องถูกจำโทษ สูงถึง
65 ปี แต่อัยการบอกว่าจะพิจารณาให้อยู่ที่ 10 ปี หรือน้อยกว่านี้
อัยการเปิดเผยว่า รัฐบาลกำลังดำเนินการสอบสวนต่อไป และในบางส่วนอาจเพิ่มข้อกล่าวหาและ
ผู้ต้องหาด้วย โดยรัฐบาลกำลังต่อรองกับเดวิด ไมเออร์ส อดีตผู้ตรวจสอบบริษัท
ซึ่งถูกจับกุมเมื่อเดือนที่แล้ว และ ได้รับการประกันตัวไปด้วยพันธบัตรมูลค่า
2 ล้านดอลลาร์ รวมทั้งอัยการยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาเขา ทั้งนี้เขาได้ถูกกันตัวเป็นพยานในการฟ้องร้อง
2 ผู้ต้องหารายแรก
ผู้ต้องหาอีกสองคนที่เชื่อว่าถูกกันตัวเป็นพยาน คือ Betty Vinson และ Troy
Normand อดีตผู้บริหารฝ่ายบัญชี ซึ่งอัยการต้องการกดดันเพื่อขอความร่วมมือกับผู้ต้องหา
สอบสวนไปถึงอดีต CEO Bernard Ebbers ส่วนทางบริษัท ซึ่งครั้งหนึ่งเป็นเป้าหมายใหญ่ของการสอบสวน
ไม่ได้ถูกตั้งข้อหา เนื่องจากบริษัทให้ความร่วมมือกับทางการ
ทนายความของ Scott Sullivan บอกว่า ลูกความ ของเขาเป็นเหยื่อของ "การพิพากษาแบบรีบร้อน"
การฉ้อสาธารณชนของ WorldCom เกิดขึ้นในระหว่างปี 1999 ถึง 2000 ซึ่งบริษัทได้สร้างข้อมูลให้นักลงทุนเห็นรายได้เพิ่มขึ้นอีกกว่า
40 เปอร์เซ็นต์ ด้วยการดึงค่าใช้จ่ายไปเป็นเงินลงทุน ซึ่งทำให้บริษัทมีรายได้ลวงระหว่างเดือนตุลาคม
2000 ถึงเดือนเมษายน 2002 เกือบ 5 พันล้านดอลลาร์ และบริษัทต้องยื่นล้มละลายในวันที่
21 กรกฎาคม 2002
อีกข่าวที่ออกมาให้นักลงทุนระดับชาวบ้านสามัญเจ็บใจกับการฉ้อฉลของพวกผู้บริหาร
WorldCom คือการที่ผู้บริหาร WorldCom ทั้งปัจจุบัน และที่ลาออก ไปแล้ว ทำเงินได้หลายล้านดอลลาร์
กับหุ้นที่จัดสรรให้ก่อน (IPO - initial public offerings) ของบริษัท Salomon
Smith Barney และบริษัทอื่นๆ อีกจำนวนมาก
โดยพนักงานสอบสวนเปิดเผยว่า Bernard Ebbers อดีต chief executive ทำเงินได้ราว
11.1 ล้านดอลลาร์ จากหุ้น IPO 21 บริษัท โดยทำเงินได้สูงถึง 4.56 ล้านดอลลาร์
จากของบริษัท Metromedia Fiber Network และ 2 ล้านดอลลาร์ จาก Qwest Communications
International Inc. ซึ่งถือว่าเป็นตัวอย่างที่พวกรู้ข้อมูลภายในคุมเกมปั่นเงิน
โดยที่นักลงทุนทั่วไปต้องเสียประโยชน์ จึงต้องมีการทบทวนนโยบายความโปร่งใสของ
กระบวนการนำหุ้นใหม่ออกสู่ตลาด
Salomon Smith Barney เป็นหน่วยงานของ Citigroup Inc. ที่ตกเป็นเป้าในการสอบสวนว่า
บริษัทเสนอหุ้น IPO ให้แก่พวกลูกค้า เพื่อให้ได้รับเรื่องเป็นที่ปรึกษาการเงินการลงทุน
โดยในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ถึงต้นทศวรรษ 2000 วิธีการนี้เป็นเสมือนการรับประกันว่าหุ้นจะดีดราคาสูงเมื่อขายในตลาดเปิด
และนักลงทุนที่สามารถซื้อหุ้นได้ในราคาขั้นต่ำจะได้กำไรก้อนใหญ่
ทางฝ่าย Salomon เองได้รับค่าธรรมเนียม หลายร้อยล้านดอลลาร์ จากการเซ็นสัญญากับบริษัทโทรคมนาคมในหลายปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้คณะกรรมการสอบสวนได้หลักฐาน บันทึกลงนามโดย Jack Grubman นักวิเคราะห์ตลาดโทร
คมนาคมดาวเด่น ซึ่งเพิ่งลาออกเมื่อเร็วๆ นี้ ได้ส่งบันทึกว่า ฝ่ายบริหารรายใดควรได้หุ้นใน
IPOs
ฝ่ายนักกฎหมายของ Citigroup ยืนยันว่า บริษัท ได้ทำการจ่ายหุ้น IPO ไปตามความเหมาะสม
ขนบ ธรรมเนียมปฏิบัติ และกฎเกณฑ์ที่ตลาดกำหนดไว้
นอกจากนั้นยังมีการตรวจสอบพบอีก 2-3 เหตุการณ์ที่คณะผู้บริหารของ WorldCom
ขายหุ้นในวันเดียวกัน หรือ 2-3 วัน หลังจากหุ้นออกสู่สาธารณชน เช่นกรณีที่
Bernard Ebbers ขายหุ้น 4,000 หุ้นของ Juniper Networks Inc. โดยได้กำไร
264,125 เหรียญ จากหุ้นที่ซื้อมาในราคา 34 ดอลลาร์ และขายไปหุ้นละ 100 ดอลลาร์
โดยเขาได้รับหุ้น IPO 869,000 หุ้น ในระหว่างปี 1996 ถึง 2000 โดยมี 4
ครั้งที่เขาขายหุ้นขาดทุน ทั้งนี้ Ebber ซึ่งลาออกไปในเดือนเมษายน ยังมีหนี้สินค้างจากการกู้ยืมบริษัทเพื่อกิจส่วนตัวถึง
400 ล้านดอลลาร์
คณะกรรมการยังพบว่า James Crowe อดีตประธานของ WorldCom ทำเงินถึง 3.5
ล้านดอลลาร์จากการขายหุ้น Qwest จำนวน 170,000 หุ้น ในวันที่ 27 สิงหาคม
ปี 1997 โดยขายไปหุ้น ละ 42.75 ดอลลาร์ จากที่ซื้อมาในราคา IPO หุ้นละ 22
ดอลลาร์ !!!!!
Walter Scott อดีตผู้อำนวยการบริษัท WorldCom ทำ เงินได้ 2.4 ล้านดอลลาร์
จากการขายหุ้น 250,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 31.50 ดอลลาร์ ไม่ถึงหนึ่งเดือนหลังจากที่ได้
IPO จาก Qwest
ส่วน Scott Sullivan ที่กำลังตกเป็นผู้ต้องหารายแรกในกรณีนี้ ส่วนใหญ่ได้รับหุ้น
IPO และขาดทุนในการขาย โดยเหตุที่มักเก็บหุ้นไว้นานจนราคาตก
ฝ่ายสมาคมผู้ค้าหลักทรัพย์แห่งชาติ วางแนวการออกกฎใหม่เพื่อไม่ให้พวกธนาคารเพื่อการลงทุนทั้งหลาย
สังเวยหุ้น IPO ให้ลูกค้า แต่กฎนี้ยังต้องรอการอนุมัติจาก คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์และการแลกเปลี่ยน
เผยอีกแผนหลอกตลาดหุ้น
ทุกกรณียิ่งพบข้อมูลฉ้อฉลเกินคาด อย่างกรณี ของ Enron บริษัทพลังงานใหญ่
มีการตรวจสอบพบว่า ครั้งหนึ่งเมื่อบริษัทไม่สามารถทำเป้าหมายการค้าได้อย่างที่วางไว้
บริษัทได้เซ็นสัญญาพลังงานลวงกับ Merrill Lynch ธนาคารเพื่อการลงทุน ซึ่งมีแผนกค้าพลังงานเป็น
ธุรกิจหนึ่ง ทำให้ปิดท้ายปีได้ด้วยกำไร 60 ล้านดอลลาร์
ทั้งนี้จากปากคำของฝ่ายบริหารบริษัทที่เกี่ยว ข้องกับการเซ็นสัญญานั้น
บอกว่า เป็นการลงนามค้าแก๊ส และพลังงานชุดใหญ่ ที่ยังช่วยให้ราคาหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้น
โดยทั้งสองฝ่ายตกลงกันล่วงหน้าว่าจะยกเลิกสัญญาเมื่อบริษัทปิดบัญชีกำไรไปแล้ว
!!!
หลังจากบริษัทได้กำไรตามเป้าหมายแล้ว บริษัทก็สามารถปล่อยโบนัสหลายล้านดอลลาร์
และหุ้นอีกจำนวนหนึ่งให้ผู้บริหาร รวมถึงสองหัวเรือใหญ่ Kenneth L. Lay ผู้ก่อตั้งบริษัท
และในตอนนั้นเป็น chief executive กับ Jeffrey K. Skilling ตอนนั้นเป็นประธานกรรมการบริษัท
"อายุสัญญาค้าพลังงานฉบับนั้นยืนยาวเพียง 11 ชั่วโมง เราทำสัญญาให้ได้รายได้ปี
1999" ผู้บริหาร รายหนึ่งเปิดเผย โดยมีอีก 5 ผู้บริหารร่วมยืนยัน แต่ทั้งหมดขอสงวนนามต่อสื่อมวลชน
บอกว่าไม่อยากเสียงานปัจจุบัน และไม่อยากเกี่ยวข้องกับคดี
ข่าวบอกว่าแผนการทั้งหมดนี้ควบคุมโดย J. Clifford Baxter ที่พบว่ายิงตัวเองเสียชีวิตอย่างผิดสังเกต
ไปตั้งแต่เดือนมกราคม โดย Baxter เคยเป็นประธานและหัวหน้าฝ่ายบริหารของ Enron
North America ซึ่ง เป็นหน่วยค้าพลังงานของ Enron ได้ร่วมมือกับ Schuyler
M. Tilney นักการธนาคารที่ปฏิเสธการให้ปากคำต่อคณะกรรมาธิการสอบสวน
ตามแผนงานนั้น Enron ต้องซื้อพลังงานจาก Merrill และ Merrill จะซื้อกลับทันที
แต่ธนาคารกังวลเรื่องการฟอกบัญชี จึงไม่ได้จัดทำ กระทั่งท้ายสุด Enron จนมุมขอให้ช่วย
"พนักงานทั้งหมดทำงานกันตัวเป็นเกลียว รวม ทั้งทาง Andersen เพื่อให้ข้อตกลงนี้บรรลุผล"
อดีตฝ่ายบริหารคนหนึ่งบอก จากนั้นในไตรมาสแรกของปี 2000 บริษัทก็เริ่มคุยกันเรื่องการยกเลิกก่อน
หมายกำหนดจ่ายเงินของ Merrill งวดแรกในเดือนกันยายนจะมาถึง โดย Enron ยอมจ่ายค่าปรับ
8 ล้าน ในเดือนเมษายน 2000
ผู้บริหารยังบอกว่า ตอนนั้นทางนักบัญชีของ Andersen ค้านประเด็นนี้ และบอกว่าถ้าไม่มีการส่งแก๊สจริง
ในปี 2000 บริษัทอาจบังคับให้มีการทำบัญชีรายได้ปี 1999 ใหม่
ในปีนั้น Enron ประกาศวันที่ 18 มกราคม 2000 ว่า ผลกำไรในไตรมาสที่ 4 ปี
1999 ของบริษัท มีกำไร 259 ล้านดอลลาร์ หรือ 31 เซ็นต์ต่อหุ้น ตามที่นักวิเคราะห์เก็งไว้
ซึ่งรายได้ 60 ล้านจากสัญญาลวง ช่วยให้กำไรเพิ่มขึ้นจาก 24 เซ็นต์ต่อหุ้น
และในสิ้นสัปดาห์นั้น ราคาหุ้นของ Enron เพิ่มขึ้น 27 เปอร์เซ็นต์
นอกจากได้รับโบนัสเพราะทำกำไรตามเป้าแล้ว อีก 2 สัปดาห์ต่อมา ผู้บริหารและผู้อำนวยการบริษัท
20 คน ยังขายหุ้น 82.6 ล้านดอลลาร์ !!!!
การเซ็นสัญญาครั้งนี้ยังทำให้ Enron มีเครดิตการดำเนินงานดี และสามารถหาเงินลงทุนได้กว่า
250 ล้านดอลลาร์ สำหรับบริษัทหุ้นส่วนนอกระบบบัญชี
เชื่อว่ามีธนาคารเพื่อการลงทุนอีกหลายแห่งที่ร่วม กับ Enron เพื่อกรณีเช่นนี้
โดยผ่านสายตาของ Arthur Andersen ซึ่งเป็นอดีตบริษัทผู้ตรวจบัญชีของ Enron
Merrill Lynch ขายแผนก Energy Trading Operation ในเดือนมกราคมปี 2001
ให้ Allegheny Energy Inc ในราคาสูงถึง 500 ล้านดอลลาร์ ซึ่งทาง Allegheny
กล่าวในเร็วๆ นี้ว่า จะลดขนาดการดำเนินงานของแผนกลง เพราะวิกฤติในธุรกิจค้าพลังงาน
เรื่องนี้บริษัท Merrill Lynch ธนาคารเพื่อการลงทุน ซึ่งมีแผนกค้าพลังงานเป็นธุรกิจหนึ่ง
ปฏิเสธว่า สัญญาทั้งหมดทำไปอย่างถูกต้อง และไม่มีการเตรียมการยกเลิกล่วงหน้าอย่างที่ถูกกล่าวหา
บริษัทไม่รับรู้ใดๆ ทั้งสิ้นกับการแจ้งรายได้ปลอมของ Enron โดยมีหลักฐานยืนยันให้รอดพ้นคดี
เป็น จดหมายจาก Richard A. Causey หัวหน้าฝ่ายบัญชีของ Enron ชี้แจงว่า บริษัทไม่ได้ทำตามคำแนะนำทางบัญชีของ
Merrill Lynch ซึ่งจดหมายนี้สามารถใช้ป้องกันข้อกล่าวหาได้ทันที
ก่อนหน้านั้น มีการเปิดเผยถึงสัญญาอีกชิ้นที่เล็กกว่าฉบับนี้ 5 เท่าตัว
และเซ็นในเดือนเดียวกัน เป็นการขายพลังงานจากไนจีเรียให้ Merrill Lynch ซึ่งคณะกรรมการสอบสวนยืนยันว่า
เป็นการเซ็นสัญญาเพื่อช่วยให้บริษัท Enron มีกำไรและย้อมบัญชี ทางธนาคารกลับยืนยันว่าถูก
Enron ล่อลวงเหมือนพันธมิตรธุรกิจอื่นๆ
"ถ้าเรารู้อย่างที่เรารู้ทุกวันนี้ เราไม่มีวันทำธุรกิจ กับ Enron"
Enron ยื่นฟ้องล้มละลายตั้งแต่เดือนธันวาคม ปีที่แล้ว หลังเปิดเผยยอดรายได้ขาดทุนมหาศาลในไตรมาสที่
3 และเป็นกรณีแรกที่นำไปสู่การเปิดโปงบัญชีลวงของบริษัทอื่นๆ อัยการบอกว่า
นี่เป็นผู้ต้องหารายแรกๆ เท่านั้นและจะมีการจับกุมอีกมาก
ส่วนหนึ่งของกล Enron ที่ทำให้ยอดรายได้ของ Enron เพิ่มขึ้นสูง คือการตั้งบริษัทซื้อพลังงานในต่างแดน
เพื่อทำธุรกิจกับบริษัทแม่ ที่ทำให้บริษัทสามารถเบิกเงินรายได้จากพวกธนาคารเพื่อการลงทุนล่วงหน้า
เมื่อสัญญาเลิกล้ม เงินก้อนนี้ก็เพิ่มกลายเป็นหนี้สิน
ผู้บริหาร Enron ที่ยอมรับผิดต่อศาลเป็นรายแรกในทุกคดีที่เกิดขึ้น คือ
Michael Kopper วัย 37 ปี อดีตกรรมการผู้จัดการ Enron Global Finance ขึ้นตรงกับ
Andrew Fastow อดีต chief financial officer ที่ปฏิเสธการให้ปากคำในคดี ส่วน
Michael ลาออกจากบริษัทหลายเดือนก่อนบริษัทยื่นขอล้มละลาย
Michael ยอมรับผิดข้อหาฟอกเงิน และฉ้อฉลโดยการโอนเงินลวง และยินยอมที่จะส่งมอบเงินคืน
12 ล้านดอลลาร์ที่ได้มาโดย ผิดกฎหมาย โดย Michael บอกว่า เขาดำเนินการไปภายใต้คำสั่งของ
Fastow ทั้งสิ้น
Michael เป็นผู้ดำเนินงานบริษัทปลอมที่ชื่อ Chewco ตั้งชื่อ ตามตัวละครในเรื่อง
Star Wars ชื่อ Chewbacca นอกจากนั้นยังเป็นตัวหลักในการดำเนินงานบริษัท
Southampton และอื่นๆ เช่น RADR
เขาลาออกจาก Enron ในปี 2001 เพื่อดูแลบริษัท ชื่อ LJM2 ที่ Andrew Fastow
ตั้งขึ้นเพื่อเป็นหุ้นส่วนปลอมของ Enron เช่นกัน ซึ่งเคยมีข่าวว่า ซื้อ "ทรัพย์สิน
ไร้มูลค่าและสสารจริง" ของ Enron เช่น Fiber Optic Line ในราคาเกินจริง คือ
100 ล้านดอลลาร์ จากนั้นขาย ให้บริษัทที่สาม ซึ่งเป็นบริษัทหุ้นส่วนปลอมของ
Enron อีกต่อในราคา 153 ล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม ทั้ง Michael และอัยการไม่ได้เอ่ยชื่อ Fastow เพียงแต่เรียกว่า
The Enron CFO
การสอบสวนพบว่า พวกผู้บริหารใช้กลวิธีปั่นยอด นี้ ทำเงินลงทุน 125,000
ดอลลาร์ ให้เป็น 10.5 ล้านดอลลาร์ ภายในไม่ถึงสามปี
โดยตัวอย่างในกรณีของ Southampton Michael ได้สารภาพถึงวิธีการโอนเงินที่ซับซ้อน
เพื่อฉ้อโกงโดยการกู้ยืมเงินจากนักลงทุนภายนอก และบางครั้งผู้บริหารบริษัทเอง
ซึ่งตอนนี้กำลังเป็นอีกคดีที่มีการฟ้องนายธนาคารอังกฤษ 3 คน ข้อหายักยอกเงิน
7.3 ล้านดอลลาร์ จาก Greenwich Nat West แต่ยังไม่มีการจับกุมเกิดขึ้น
Michael ได้รับการประกันตัวด้วยยอดเงิน 5 ล้านดอลลาร์ ส่วนการตัดสินโทษจะดำเนินการในเดือนเมษายนปีหน้า
และเขาอาจต้องโทษจำคุก 15 ปี และถูกปรับเป็นสองเท่าของเงินที่ลงทุนไป แต่การร่วมมือทำให้เขาได้พ้นโทษในที่สุด
อย่างไรก็ตาม เขาต้องห้ามในการ รับตำแหน่งฝ่ายบริหารของบริษัทสาธารณชนตลอดชีวิต
เงินจำนวน 12 ล้านที่จะส่งมอบคืนภายใน 30 วัน นั้น 4 ล้านจะเข้ากรมยุติธรรม
และอีก 8 ล้าน จะมอบให้คณะกรรมการหลักทรัพย์และการแลกเปลี่ยน เพื่อแจกจ่ายไปยัง
"ผู้เสียหาย" หรือผู้ถือหุ้นต่อไป
นอกจากนั้นอัยการยังหวังว่า Michael จะเป็นตัวเชื่อมไปยังการสอบสวนถึงตัวผู้บริหารรายอื่นๆ
ที่ทำให้บริษัทล้มละลาย ลูกจ้างนับหมื่นคนตกงาน และนักลงทุนนับล้านถือหุ้นที่ไร้ค่า
ทางการบอกว่ายังเตรียมการยึดเงิน 23 ล้านดอลลาร์ ที่ Fastow และผู้บริหารรายอื่นๆ
ทำได้จากการตั้งหุ้นส่วนปลอม โดยขณะนี้ได้มีการแช่ทรัพย์สินของครอบครัว Fastow
ไว้ รวมทั้งจะมีการยึดคฤหาสน์หรูราคา 3 ล้านดอลลาร์ และยังมีแผนยึดทรัพย์สินของ
Ben Glisan คลังบริษัท, Kristina Mordaunt อดีตทนายความบริษัท และ Kathy
Lynn อดีตลูกจ้าง ซึ่งร่วมในหุ้นส่วนลวง Southampton Place ที่ตั้งชื่อตามย่านที่
Michael และ Andrew Fastow มีบ้านพักอยู่
ส่วนตัว Andrew Fastow นั้น อาจต้องโทษจำคุกอย่างน้อย 10 ปี
อย่างไรก็ตาม ได้มีการตีคดีไปในแนวที่ว่า พวกนักบริหารรับจ้างหาประโยชน์จากบริษัทโดยที่พวกกรรมการบริษัทไม่รับทราบ
จึงยากที่จะสาวถึงสองหัวเรือใหญ่ Kenneth L. Lay ผู้ก่อตั้งบริษัท และในตอนนั้นเป็น
chief executive กับ Jeffrey K. Skilling ตอนนั้น เป็นประธานกรรมการบริษัท
ทั้งนี้เชื่อว่าทั้งสองคนยังอยู่ ใต้การสอบสวน แต่ไม่มีรายงานการตัดสินคดีออกมา
หุ้นมีพิรุธอีก 2 บริษัท
ช่วงเดือนที่ผ่านมา คณะกรรมการหลักทรัพย์ยังได้ตั้งคำถามกับบริษัทยา Bristol-Myers
Squibb Co. ที่ต้องสงสัยว่าปั่นรายได้เพิ่มขึ้นถึง 1 พันล้านดอลลาร์เมื่อปีที่ผ่านมา
ซึ่งการทักท้วงครั้งนี้จะทำให้รายได้ของบริษัทลดลงอย่างน้อย 50 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้
บริษัทให้การว่าได้ทำการค้าไปตามปกติ และยินดีร่วมมือกับการสอบสวนเต็มที่
โดยเหตุที่เกิดขึ้นคือ เมื่อปีที่แล้ว บริษัทได้คะยั้นคะยอให้ผู้ค้าส่งซื้อยาล้นสต็อกจำนวนมาก
ทำให้มีผลว่ายาดังกล่าวล้นตลาดในปีนี้
อีกบริษัทคือ Computer Associates International Inc. ซึ่งเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ด้านธุรกิจ
ที่กำลัง ทำการสอบสวนในระบบบัญชีเช่นกัน
ทางบริษัทได้มีการปรับตัวคณะกรรมการ โดยได้ ให้ออกจากตำแหน่งไป 8 ใน 11
คน ในจำนวนนี้แน่นอน ว่าไม่มี Sam Wyly เศรษฐีชาวเท็กซัส ผู้ถือหุ้นที่พยายาม
เข้าควบคุมบริษัทตั้งแต่ปีก่อน และในเดือนกรกฎาคมนี้ บริษัทได้จ่ายเงินให้เขาถึง
10 ล้านดอลลาร์ เพื่อไม่ให้เข้าร่วม ท่ามกลางความฉงนของบรรดาผู้ถือหุ้นทั่วไป
Charles Wang ประธานบริษัท บอกว่าเป็น การจ่ายเพื่อประหยัดต้นทุน และการเสียเวลากับการพยายามเข้าควบคุมบริษัท
โดย Sam สัญญาว่าจะไม่เข้าร่วมแข่งขัน 5 ปี ซึ่งเป็นวิธีการที่ถูกกว่า และเป็นข้อเท็จจริงในการดำเนินธุรกิจที่น่าเศร้า
หนังสือพิมพ์รายงานว่า Charles และ Sanjay Kumar ตำแหน่ง Chief Executive
ที่ถือครองอำนาจอยู่นี้ได้ใช้เครื่องบินเจ็ทของบริษัทสองลำไปในการเดินทาง
พักผ่อนส่วนตัวบ่อยๆ และบางครั้งก็เดินทางไปชมการแข่งขันทีมฮอกกี้ที่ผู้บริหารทั้งสองถือหุ้นอยู่
ทั้งสองแก้ตัว ว่า การใช้เครื่องบินส่วนตัวนั้นได้ชำระค่าใช้จ่ายให้บริษัท
บริษัท Nasdaq ล้มละลาย
Consolidated Freightways หนึ่งในบริษัทดำเนินงานรถบรรทุกใหญ่ที่สุดในอเมริกา
และมีหุ้นค้าอยู่ในกลุ่มดัชนีบริษัทชั้นดี หรือ Nasdaq ได้ขอล้มละลายเมื่อต้นเดือนกันยายน
หนึ่งวันหลังจากวันแรงงาน ซึ่งพนักงานบางส่วนไปทำงานตามปกติ และได้พบประตู
บริษัทปิด พร้อมป้ายว่าไม่ต้องมาทำงานในวันรุ่งขึ้น
บริษัทมีพนักงาน 15,500 คน และเปิดดำเนินงาน มา 73 ปี ที่ผ่านมาเพิ่งออกผลการดำเนินงานไตรมาสที่
2 ของปี ซึ่งมีผลขาดทุน 123.2 ล้านดอลลาร์
ภายใต้กฎหมายการคุ้มครองล้มละลาย มาตรา 11 บริษัท จะขายสินทรัพย์มีรถพ่วง
27,000 คัน รถแทรกเตอร์ 6,600 คัน และสถานีดำเนินงานอีกเกือบ 300 แห่ง เพื่อจ่ายให้แก่เจ้าหนี้
แต่เงินจำนวนนี้จะไม่มีเหลือเป็นค่าเสียหายให้ผู้ถือหุ้นทั่วไป เช่นเดียวกับกรณีการฟ้องล้มละลายของบริษัทอื่นๆ
ที่ใบหุ้นกลายเป็นเพียงเศษกระดาษมูลค่าไม่กี่เซ็นต์
ที่ผ่านมา บริษัท Consolidated มีรายได้ 2.2 พันล้าน ในปี 2001 และควบคุมการดำเนินงานรถบรรทุก
15 เปอร์เซ็นต์ในอเมริกา มีลูกค้ารายใหญ่ๆ เช่น Home Depot ขายอุปกรณ์ซ่อมบ้าน
the U.S. Postal Service ไปรษณีย์สหรัฐฯ และเครื่องไฟฟ้า General Electric
ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า เป็นเรื่องแปลกที่บริษัทใหญ่ พร้อมด้วยทรัพย์สินมากมายจะล้มละลายง่ายๆ
นอกจาก เหตุผลที่เป็นไปได้สองอย่าง คือ ปัญหาการเงินใหญ่ข้างใน หรืออุตสาหกรรมนี้มีภาวะที่เสื่อมมาก
จนคู่แข่งไม่อยากเสียเงินซื้อบริษัท
ด้าน United Airlines สายการบินใหญ่อันดับสองของอเมริกา ก็เปิดเผยถึงภาวะการเงินที่สั่นคลอน
และบริษัทต้องตัดต้นทุน 9 พันล้านดอลลาร์ จากการจ้างงาน ในระยะกว่า 6 ปี
เพื่อเลี่ยงกับภาวะขอล้มละลาย แต่ฝ่ายแรงงานยังไม่ยอม
บริษัทบอกว่า ประสบปัญหาตั้งแต่เหตุการณ์ 11 กันยา ทำให้รายได้ลดลง และบริษัทต้องการประหยัดต้นทุน
1.5 พันล้านดอลลาร์ต่อปี จากการจ้างงานรวม กับการประหยัดในส่วนอื่นๆ อีกให้ได้ถึงปีละ
2.5 พันล้านดอลลาร์ ไม่เช่นนั้นอาจต้องล้มละลาย เร็วๆ นี้
อันดับ 10 วิธีลวงนักลงทุน
สมาคมบริหารหลักทรัพย์อเมริกาเหนือ ได้จัดอันดับการฉ้อฉลประจำปี ปรากฏว่าอันดับหนึ่งคือ
กลโกง ที่เกี่ยวกับนายหน้าค้าหุ้นและนักวิเคราะห์การเงินขาดจริยธรรมที่ติดอันดับใหม่ในปีนี้คือ
การลงทุนน้ำมันและ แก๊สปลอม รวมถึงกลโกงที่เกี่ยวข้องกับการมอบของกำนัล
สมาคมแห่งนี้ คือ National Securities Administrators Association หรือ
NASAA เป็นการรวมตัวของผู้ทำงานด้านข้อกำหนดหลักทรัพย์ในอเมริกา 50 รัฐ รวม
ถึง the District of Columbia, Puerto Rico, Canada และ Mexico.
การจัดอันดับการฉ้อโกง และการลงทุนที่เสี่ยงสูง จัดตามความถี่ของเหตุการณ์
และผลกระทบที่เกิดขึ้น การฉ้อโกงที่ติดอันดับต้นๆ ในปี 2002 ยังรวมถึงส่วนที่เกี่ยวข้องกับนักประกอบการที่ไม่มีใบอนุญาต
เช่น นายหน้าขายประกันอิสระ ทำงานขายหุ้นด้วย ซึ่งมีนายหน้า จำนวนมากเห็นแก่ค่านายหน้าก้อนใหญ่
และขายหลักทรัพย์ลวงหรือมีความเสี่ยงสูง นายหน้าหลอกลวงนี้นำมาเป็นอันดับ
2
เมื่อปีที่ผ่านมา คณะกรรมการหลักทรัพย์ของรัฐ North Dakota ได้ยึดใบอนุญาตของนายหน้าสองราย
ที่ทำเงินนับล้านดอลลาร์ จากการค้าขายหลักทรัพย์โดยที่ลูกค้าไม่รับรู้ นายหน้าทั้งคู่ทำงานกับบริษัทเพื่อการลงทุนแห่งหนึ่ง
ใน Texas ซึ่งยอมจ่ายเงินชดเชยให้ลูกค้ามากกว่า 3.2 ล้านดอลลาร์
อันดับสามในรายการคือ การวิเคราะห์หุ้นที่ขัดแย้ง ที่กำลังสอบสวนกันอยู่ว่า
นักวิเคราะห์บางคนร่างรายงานการวิจัยและทำการแนะนำการซื้อขายขึ้น เพราะการแข่งขันในธุรกิจธนาคารเพื่อการลงทุน
อย่างกรณีของ Merrill Lynch & Co. ในฐานะบริษัทนายหน้าขายหุ้น ซึ่ง เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมายอมจ่ายเงินค่าปรับ
100 ล้านดอลลาร์ ให้แก่อัยการเมืองนิวยอร์ก และรับปากจะ ปรับคุณภาพการวิจัยหุ้นของบริษัท
หลังจากที่ถูกฟ้องในข้อหา "นักลงทุนของบริษัทนำทางนักลงทุนผิดพลาด"
ข้ออื่นๆ ที่เป็นกลลวงล่อนักลงทุน คือ ข้อสัญญา ชำระเงิน ซึ่งนักลงทุนให้เงินกู้ยืมแก่บริษัท
แลกเปลี่ยนกับรายได้ตอบแทนในระยะเวลาที่ตกลงกันไว้ ซึ่งข้อสัญญาชำระเงินของบริษัทที่ถูกต้องตามกฎหมายนั้น
โดยปกติไม่จำหน่ายแก่สาธารณชน และบางครั้งมีการร่างโครงการเท็จเพื่อหลอกลวง
กลลวงต่อไปคือ ธนาคารชั้นนำที่สัญญากับนักลงทุนว่าจะมอบผลตอบแทนสูงเป็น
3 เท่า โดยปลอดความเสี่ยง หากซื้อพันธบัตรที่รับประกันโดยธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลก
กลลวงอีกอย่างคือ การล่อลวงมาลงทุนด้วยสายสัมพันธ์ กระทำกันในกลุ่มคนเคร่งศาสนา
ชนผิวสี และกลุ่มนักวิชาชีพ และดำเนินการฉ้อฉลโดยสมาชิกของกลุ่ม ซึ่งใช้ความเชื่อถือไว้วางใจกันเป็นวัสดุสร้างกับดักล่อเงิน
เหตุการณ์จับโจรเศรษฐกิจคาตลาดหุ้นนี้ กำลังเป็นตัวแปรสำคัญในอนาคตทางการเมือง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งใกล้การเลือกตั้งครั้งใหญ่ ที่กำหนดเวียนมาถึงในวันที่
5 พฤศจิกายนนี้
ถึงแม้ว่า สภาคองเกรสจะผ่านกฎหมายป้องกันบริษัทฉ้อฉลด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น
และจอร์จ บุช เซ็น รับรองทันที แต่ก็ไม่สร้างความพอใจให้กับสมาชิกทำเนียบ
ทั้งฝ่ายเดโมแครต และรีพับลิกันเองที่เห็นว่าทำเนียบขาว ยังพยายามปกป้องพวกบริษัทยักษ์ใหญ่
ตามกฎหมายที่ผลักดันโดยวุฒิสมาชิกรีพับลิกัน Charles Grassley จาก Iowa
และวุฒิสมาชิก Patrick Leahy พรรคเดโมแครตจาก Vermont มีข้อกำหนดปกป้องแหล่งข่าว
หรือลูกจ้างของบริษัททุกแห่งที่ขายหุ้น ให้สาธารณชน โดยลูกจ้างที่ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่บ้านเมือง
ผู้รักษากฎหมาย และสมาชิกสภาคองเกรสรายใดก็ตาม
หากบริษัทพ้นผิด ลูกจ้างรายนั้นยังสามารถยื่นคำร้องต่อกระทรวงแรงงาน และนำเรื่องพิจารณาในศาลกลาง
โดยได้รับสิทธิเช่นเดิม ได้รับค่าแรงย้อนหลัง และได้รับค่าเสียหาย ซึ่งถือเป็นกฎหมายฉบับแรกที่ปกป้องลูกจ้างของบริษัทสาธารณชนที่เป็นแหล่งข่าว
ด้วยหวังว่าจะช่วยให้การสอบสวน Enron และบริษัทอื่นๆ มีผู้ออกมาเป็นพยานมากขึ้น
จอร์จ บุช เซ็นรับกฎหมายเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม แต่ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้นก็ได้ออกร่างแก้
ซึ่งขัดแย้งกับกฎหมายนี้ โดยให้ความคุ้มครองมีผลเฉพาะต่อลูกจ้าง ที่ช่วยให้ข้อมูลแก่คณะกรรมการสอบสวนของวุฒิสภา
แต่ไม่ปกป้องลูกจ้างที่ให้ข้อมูลการฉ้อฉลเป็นการส่วนตัวแก่สมาชิกสภาคองเกรส
โดยทำเนียบข่าวบอกว่าวิธีนี้ จะให้อำนาจคณะกรรมการสอบสวนมากขึ้น แต่ ส.ส.
ผู้ผลักดันร่างกฎหมายบอกว่า จะทำให้ลูกจ้างต้องการแจ้งข้อมูลน้อยลง
เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ Charles ซึ่งเป็นวุฒิสมาชิกที่มีส่วนผลักดันร่างกฎหมายสำคัญหลายฉบับบอกว่า
จะไม่สนับสนุนจอร์จ บุช เป็นตัวแทนเลือกตั้งประธานาธิบดีในครั้งต่อไป พร้อมทั้งส่งจดหมายประท้วงถึงรัฐมนตรียุติธรรมสหรัฐฯ
ที่รับปากว่าจะทำการสอบสวนและลงโทษพวกบริษัทยักษ์ใหญ่และการทำบัญชีฉ้อฉล
จอร์จ บุช ตอบรับด้วยการหันไปง่วนประกาศสงครามกับอิรัก เรียกคะแนนอีกทาง