จับตาพี่เบิ้มวงการบ้านจัดสรร แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ โดดเล่นตลาดบ้านระดับกลาง ราคา 2-3 ล้านบาทมากขึ้น
ดีเวลลอปเปอร์ขนาดกลาง รับผลกระทบเต็ม ๆ หากผุดโครงการใกล้ใครมีสิทธิ์ยอดขายร่วง เหตุแบรนด์แลนด์ฯแข็งแกร่ง ครองใจผู้บริโภค
เตือนคู่แข่งปรับกลยุทธ์ด้านการตลาดก่อนถูกแย่งลูกค้า
ผู้บริโภคได้เฮจากการแข่งขัน ทำให้ได้บ้านคุณภาพดี สถาปัตยกรรมเด่น ในราคาที่เหมาะสม
แม้ว่าตลาดบ้านจัดสรรจะเริ่มชะลอตัว แต่เชื่อว่าปีนี้ตลาดน่าจะยังมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีการคาดการณ์กันว่า ตลาดน่าจะเติบโตได้ราว 15-20% จากปีก่อนที่มียอดจดทะเบียนบ้านใหม่ 62,796 ยูนิต แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 42,937 ยูนิต และบ้านสร้างเอง 19,859 ยูนิต
ทั้งนี้ ตลาดบ้านระดับบนน่าจะมีการเติบโตน้อยลง เพราะในช่วง 1-2 ปีก่อน มีการขายบ้านระดับนี้จำนวนมาก จนทำให้ลูกค้ากลุ่มนี้ถูกดูดซับออกไปเกือบหมดจากตลาด ขณะที่บ้านระดับล่างน่าจะมีการขยายตัวได้อีกมาก เพราะมีความต้องการบ้านจำนวนมาก แต่ที่ผ่านมาไม่มีการลงทุนโครงการระดับนี้มากเพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า เพราะผู้ประกอบการเกือบทุกรายหันไปสร้างบ้านระดับกลางถึงบนขายกันจำนวนมาก เพราะการลงทุนบ้านระดับนี้นอกจากจะขายได้ดีเป็นเทน้ำเทท่าแล้ว ยังมีกำไรมหาศาล หากเทียบกับการลงทุนสร้างบ้านระดับล่าง
จากการสอบถามผู้ประกอบการที่สร้างบ้านระดับบน ยอมรับว่า ตลาดราคาแพงสร้างผลกำไรเบื้องต้นได้มากถึง 35-40% ขณะที่บ้านราคาถูกมีกำไรเบื้องต้นเพียง10-20% เท่านั้น ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจหากผู้ประกอบการหลายรายจะหันไปลงทุนบ้านระดับบนขายกันในช่วงที่ผ่านมา
คาดบ้าน 2-3 ล้านขายดี
สำหรับตลาดระดับกลาง ราคาเฉลี่ยที่ 2-3 ล้านบาท แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีการทำตลาดบ้าง ไม่มากนัก แต่ส่วนใหญ่โครงการยังกระจายไปไม่ทั่วถึงกับความต้องการของลูกค้า ซึ่งคาดว่าปีนี้ตลาดระดับนี้เป็นตลาดที่น่าจะขยายตัวได้ดีกว่าเซ็กเมนท์อื่น
บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เจ้าตลาดโครงการบ้านจัดสรร ย่อมมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล และแน่นอนจะต้องวิเคราะห์ตลาดเป็นว่า ทิศทางตลาดจะไปในทิศทางใด ? และเห็นโอกาสในการสร้างยอดขาย จึงได้วางแผนลงทุนโครงการบ้านจัดสรร ระดับราคาเฉลี่ยที่ 2-3 ล้านบาทมากขึ้น จากปีก่อนที่ได้ทดลองทำตลาดแล้วประมาณ 200 ยูนิต ปรากฎว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า
นพร สุนทรจิตต์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ กล่าวว่า ปีนี้ บริษัทจะลงทุนโครงการใหม่รวม 13 แห่ง คิดเป็นมูลค่า 28,032 ล้านบาท บนพื้นที่ 1,210 ไร่ จำนวน 4,432 ยูนิต ซึ่งจะเปิดโครงการใหม่ในไตรมาสแรก 4 แห่ง ไตรมาสสอง 3 แห่ง ไตรมาสสาม 2 แห่ง และไตรมาสสี่ 4 แห่ง ทั้งนี้ จะลงทุนบ้านราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท เป็นหลักเฉลี่ยที่ 60% และราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป ในสัดส่วน 40%
เพิ่มน้ำหนักลงทุนเป็น 1,200 ยูนิตปี 49
โครงการที่จะลงทุนมีระดับราคาตั้งแต่ 2- 17 ล้านบาทขึ้นไป โดยในปีนี้จะลงทุนบ้านระดับราคา 2-3 ล้านบาทมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในกลุ่มนี้ ซึ่งจะลงทุนประมาณ 800 ยูนิต บริเวณรังสิต ,พุทธมณฑล สาย 4 และท่าข้าม พระราม 2 เป็นต้น หลังจากที่ปีก่อนทำเพียง 200 ยูนิต และมีแผนที่จะลงทุนเพิ่มเป็น 1,200 ยูนิตในปีหน้า บ้านระดับนี้บริษัทจะใช้การก่อสร้างระบบกึ่งสำเร็จรูป หรือ พรีแฟบมาช่วยในงานก่อสร้าง เพราะจะช่วยย่นระยะเวลาในการก่อสร้างบ้านให้เร็วขึ้น
การโดดเข้ามาเล่นตลาดบ้านระดับนี้ แหล่งข่าวในวงการอสังหาริมทรัพย์ กล่าวกับ"ผู้จัดการรายสัปดาห์" ว่า จะส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการหลายราย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ประกอบการขนาดกลาง ที่ทำบ้านในระดับเดียวกัน และมีสายป่านสั้นกว่าแลนด์ฯ รวมถึงแบรนด์ของแลนด์ฯเป็นแบรนด์ที่แข็งมาก ผู้บริโภคให้การยอมรับ รวมทั้งเป็นผู้ปลุกกระแสบ้านไม่ได้เห็นอย่าซื้อ และเป็นผู้กำหนดทิศทางตลาดให้สร้างบ้านเสร็จก่อนขาย จนทำให้ผู้ประกอบการรายอื่น ต้องหันมาสร้างบ้านสร้างเสร็จก่อนขายกันทุกรายในช่วงวิกฤต
แนะสร้างจุดขายดึงลูกค้า
แหล่งข่าวรายเดิมกล่าวอีกว่า หากโครงการของแลนด์ฯไปตั้งอยู่ใกล้โครงการของใคร ก็ขอให้เจ้าของโครงการดังกล่าวเร่งปรับตัวอย่างรวดเร็ว จะต้องสร้างจุดขายให้กับตัวเองให้ได้ เพราะหากยังขายด้วยวิธีการเดิมจะเสียเปรียบแลนด์ฯอย่างมาก ซึ่งอาจจะต้องดีไซน์รูปแบบบ้านให้โดดเด่น ออกแบบโครงการให้น่าอยู่ เพียบพร้อมด้วยสาธารณูปโภคภายในโครงการ ราคาไม่แพง ระบบการรักษาความปลอดภัยต้องดี ที่สำคัญการดูแลโครงการต้องจัดการให้ได้มาตรฐาน ค่าส่วนกลางควรจะต่ำกว่าของแลนด์ฯ เพื่อเป็นสิ่งจูงใจให้เลือกซื้อโครงการของตัวเอง
อย่างไรก็ตาม การที่แลนด์ฯลงมาเล่นตลาดระดับ 2-3 ล้านบาทมากขึ้น จะส่งผลดีต่อผู้ซื้อบ้าน เพราะจากการแข่งขันที่สูงขึ้น จะทำให้ผู้ประกอบการทุกราย รวมทั้งแลนด์ฯจะต้องสร้างบ้านที่ดี มีคุณภาพ ดีไซน์สวยงาม พื้นที่ใช้สอยเหมาะกับการใช้งานจริง จะมีการบริหารจัดการโครงการที่ดีขึ้น อีกทั้งยังไม่กล้าปรับราคาบ้านขึ้นด้วย เพราะกลัวว่าจะกระทบยอดขาย
"การทำตลาดบ้านราคา 2-3 ล้านบาทมากขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งเพื่อต้องการเติมเต็มในสิ่งที่ขาดในตลาด รวมถึงต้องการขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมมากขึ้น ขณะเดียวกัน ยังแยกเซ็กเมนท์การทำตลาดกันชัดเจนมากยิ่งขึ้นด้วย ในบริษัทในเครือแลนด์ โดยบมจ.คิวเฮ้าส์ เน้นเจาะตลาดบ้านราคาแพงเช่นเดิม แม้ว่าตลาดระดับบนจะเริ่มเข้าสู่จุดอิ่มตัวก็ตาม ขณะที่บมจ.เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ยังคงเน้นทำโครงการบ้านกลางเมือง"
โดยแผนการทำตลาดของคิวเฮ้าส์ ในปีนี้ยังเป็นเช่นเดิม คือเน้นกลุ่มเป้าหมายระดับไฮเอนด์ เพราะเชื่อว่ากำลังซื้อยังมีอีก แม้ว่าจะไม่มากเท่ากับปีก่อน ๆ โดยคิวเฮ้าส์ ยังมีแผนลงทุนโครงการใหม่ 2 แห่ง มูลค่าโครงการรวม 4,140 ล้านบาท ได้แก่โครงการลดารมย์ วัชรพล มูลค่า 3,100 ล้านบาท กำหนดเปิดตัวได้ในปลายเดือนมีนาคมนี้ และโครงการลัดดารมย์ Elegance รามคำแหง มูลค่า 1,040 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดตัวในไตรมาส 3 ปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินงาน 14 แห่ง มูลค่าเหลือขาย 15,300 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีแผนจัดซื้อที่ดินเพื่อลงทุนโครงการใหม่อีกประมาณ 400 ไร่ ทั้งในกรุงเทพฯ และธนบุรี คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,300 ล้านบาท โดยบริษัทตั้งเป้าการเติบโตปีนี้ไว้ที่ 20% โดยมีรายได้รวม 7,191 ล้านบาท มากกว่าปี 46 ที่มีรายได้เพียง 6,044 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,147 ล้านบาท ส่วนปี 49 ตั้งเป้าเติบโต 25% และปี 50 ตั้งเป้าเติบโตที่ 20%
|