|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
เค.ซี.พร็อพเพอร์ตี้ เจอก้างชิ้นใหญ่ ติดกฎเหล็กคณะกรรมการสวล. ไร้วี่แววได้ใบอนุญาติสวล.ในโครงการคอนโดมิเนียมย่านติวานนท์ เตรียมปรับแผนลงทุนใหม่ จากเดิมจะทำคอนโดมิเนียมระดับกลาง ราคา 7-8 แสนบาท เป็นราคา 1.3-1.4 ล้านบาท และลดจำนวนยูนิตลงจาก 140 ยูนิต เหลือ 70 ยูนิต เพื่อเลี่ยงขอสวล. คาดสรปุผลได้ 1-2 เดือน
การขอใบอนุญาตเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมยังคงเป็นอุปสรรคใหญ่ของดีเวลลอปเปอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากจะลงทุนก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมที่มีจำนวนยูนิตมาก ที่ผ่านมามีโครงการหลายแห่งประสบปัญหาการขอสิ่งแวดล้อม ทั้งโครงการที่ได้เปิดขายไปแล้ว และโครงการที่เริ่มลงมือก่อสร้าง แต่สุดท้ายต้องหยุดการก่อสร้างอย่างกะทันหัน เพราะยังไม่ได้ใบอนุญาติเรื่องสิ่งแวดล้อม อาทิ โครงการคอนโดมิเนียมบริเวณแยกรัชดา-ลาดพร้าวของ บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ที่ประสบปัญหาดังกล่าวมานานพอสมควร ทำให้ไม่สามารถก่อสร้างโครงการได้ ทั้งที่ได้เปิดขายได้ไม่กี่วันก็สามารถขายได้หมดเกลี้ยงทั้งโครงการ
เช่นเดียวกับโครงการคอนโดมิเนียมที่บมจ.เค.ซี.พร็อพเพอร์ตี้ กำลังจะลงทุน บริเวณถนนติวานนท์ ที่กำลังประสบปัญหาดังกล่าว โดยอภิสิทธิ์ งามอัจฉริยะกุล กรรมการผู้จัดการ เปิดเผย“ผู้จัดการรายสัปดาห์”ว่า บริษัทมีแผนที่จะลงทุนโครงการคอนโดมิเนียมบริเวณถนนติวานนท์ ใกล้กับกระทรวงสาธารณสุข แต่จนถึงทุกวันนี้ แผนการลงทุนต้องชะลอออกไปอย่างไม่มีกำหนด หรืออาจจะต้องเปลี่ยนรูปแบบการลงทุนใหม่ เพราะติดปัญหาเรื่องการขอสิ่งแวดล้อม
อภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขั้นตอนการขออนุญาต และเวลาที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ(สวล.) ใช้ในการอนุญาตินานเกินไป และยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัดว่าจะอนุมัติใบอนุญาติเมื่อไหร่ ทำให้กระทบต่อแผนการลงทุนของเค.ซี.ฯ อีกทั้งกฎเกณฑ์ของสวล.บางข้อ ยังระบุว่าอยู่ในดุลยพินิจของคณะกรรมการในการอนุญาต ซึ่งข้อนี้ทำให้ขาดกฎที่แน่นอนในการพิจารณา
เมื่อประสบปัญหาเช่นนี้ บริษัทจึงอยู่ระหว่างการทบทวนแผนการลงทุนใหม่ เพราะไม่ต้องการเสียโอกาสในการดำเนินธุรกิจ อาจจะปรับแผนเป็นลงทุนก่อสร้างทาวน์เฮ้าส์ 3 ชั้น ราคา 3 ล้านบาทขึ้นไป บนพื้นที่บางส่วนจากพื้นที่ทั้งหมดกว่า 9 ไร่ ในช่วงที่รอใบอนุญาติ และเมื่อได้ใบอนุญาติแล้วจึงจะก่อสร้างคอนโดมิเนียม 2 อาคาร จากแผนเดิมจะก่อสร้างทั้งหมด 6 อาคาร หรืออาจจะปรับเป็นก่อสร้างคอนโดมิเนียมเช่นเดิม แต่จะลดจำนวนยูนิตลง เพื่อจะได้ไม่ต้องขอสิ่งแวดล้อม แต่จะต้องขายในราคาสูงกว่าเดิมเท่าตัว เพราะขนาดพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้นเท่าตัวเช่นเดียวกัน โดยจากเดิมจะสร้างคอนโดมิเนียมราคาประมาณ 7-8 แสนบาท จะต้องปรับเพิ่มขึ้นเป็นยูนิตละ 1.3-1.4 ล้านบาท ส่วนจำนวนยูนิตจะลดลงเหลือราว 70 ยูนิต จากเดิม 140 ยูนิต
“ก่อหน้านี้ บริษัทจ้างเอแบค โพล สำรวจความต้องการที่อยู่อาศัยในย่านติวานนท์ พบว่า มีความต้องการคอนโดมิเนียม ราคาเฉลี่ยที่ 7-8 แสนบาท จึงจะลงทุนโครงการในระดับราคานี้ แต่เมื่อบริษัทติดปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม บริษัทจึงจำเป็นต้องปรับรูปแบบการลงทุน ขณะนี้ได้ให้เอแบค โพ สำรวจความต้องการอีกครั้งหนึ่ง หากบริษัททำคอนโดมิเนียมราคา 1.3-1.4 ล้านบาท แล้วตลาดตอบรับบริษัทพร้อมที่จะเปลี่ยนรูปแบบการลงทุนทันที คาดว่าจะสรุปผลได้ในช่วง 1-2 เดือนนี้”
ส่วนความคืบหน้าการเข้ามาเทรดบนกระดานนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ หลังจากที่เลื่อนมา 2 ครั้ง ในวันที่ 22 มี.ค. และ27 เม.ย.ที่ผ่านมา เพราะติดปัญหาเล็กน้อยจึงยังไม่ได้กลับเข้าไปซื้อขาย อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา บริษัทไปโรดโชว์ให้กับนักลงทุน และนักวิเคราะห์ ผลตอบรับออกมาดีมาก แต่ในช่วงนี้เซ็กเตอร์อสังหาริมทรัพย์ไม่ค่อยสดใสนัก ดังนั้น ถือเป็นโชคดีที่ยังไม่ได้เข้าไปซื้อขาย
กรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า การเลื่อนเข้าตลาดฯส่งผลกระทบต่อการลงทุนของเค.ซี.ฯบ้าง เพราะเงินที่จะได้จากการระดมทุนราว 500 ล้านบาท มีแผนที่จะนำไปชำระหนี้ราว 350 ล้านบาท ยังไม่ได้นำไปชำระ ทำให้ต้องเสียดอกเบี้ยแต่ไม่มากนัก เพราะอัตราดอกเบี้ยถือว่าอยู่ในระดับต่ำ และอีกส่วนหนึ่งจะนำไปซื้อที่ดิน เพื่อลงทุนโครงการใหม่
ปีนี้เค.ซี.ฯมีแผนลงทุนโครงการใหม่รวม 7 แห่ง มูลค่ารวม 4,500 ล้านบาท ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา เปิดตัวแล้ว 4 แห่ง มูลค่ารวมราว 2,000 ล้านบาท เช่น โครงการเนเชอรัล รามคำแหง ,เนเชอรัล เทพารักษ์ และพาร์ควิลล์ เทพารักษ์ เป็นต้น ส่วนอีก 3 แห่ง จะทยอยเปิดตัวในเดือนก.ค. 1 แห่ง และในไตรมาสสี่ อีก 2 แห่ง โดยตั้งเป้ายอดขายทั้งปีอยู่ที่ราว 2,000 ล้านบาท ในช่วง 4 เดือนแรกมียอดขายกว่า 800 ล้านบาท
|
|
|
|
|