|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
อากู๋ ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ฟิตจัด ไม่รู้ไปกินอาหารผิดสำแดงอะไร จู่ๆก็ประกาศว่าจะลุกขึ้นมาทำหนังสือพิมพ์รายวัน ไม่ใช่หนังสือบันเทิงรายวันด้วยนะ ทว่าเป็นหนังสือพิมพ์เศรษฐกิจการเมือง
ขอพูดถึงหนังสือพิมพ์บันเทิงรายวัน ก็คิดว่าวันนี้เลยเถิดกันไปใหญ่แล้ว
หนังสือพิมพ์บันเทิงรายวันนี้มีหลายเล่ม หนังสือพิมพ์ราย 3 วันบันเทิง รายสัปดาห์ก็มีทั้งเป็นรูปแบบนิตยสาร ฯลฯ อีกมากมาย นี่ยังไม่รวมหน้าบันเทิงรายวันอีกต่างหาก คำถามก็คือดาราเมืองไทยมีกี่คนที่สามารถจะสร้างข่าวได้ให้ฮือฮา คำตอบก็คือมีไม่ถึง 30 คน และถ้าจะเอาที่เป็นข่าวแล้วครางฮือกันทั้งเมือง ก็ลองลิสต์ดูสิว่ามีใครบ้าง น้องอั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ น้องแหม่ม คัทลียา แมคอินทอช ทาทายัง
ดังนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกที่แหม่มมีข่าว สื่อฮือไปกว่า 100 คน
ข่าวบันเทิงเมื่อเป็นหนังสือพิมพ์รายวัน ก็ต้องสร้างข่าว หาข่าวและบางครั้งเป็นข่าวเต้า เพื่อสร้างความเร้าใจให้คนอ่าน แล้วทำไมถึงได้ออกหนังสือพิมพ์บันเทิงเยอะเหลือเกิน
ถ้าจะให้ตอบก็ขอฟันธงว่าเป็นเพราะบริษัทอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ต้องพยายามจะมีการเจริญเติบโตโดยตลอด ไม่อยากทำก็ต้องทำ ไม่อย่างนั้นจะอยู่ตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้
ธุรกิจมีเดียเป็นธุรกิจที่เน้นการหารายได้จากโฆษณาและขายก๊อปปี้ หรือขายเล่มๆ นาทีนี้ใครคิดว่างบโฆษณาจะมาลงหนังสือพิมพ์บันเทิง ขอให้ยกมือขึ้น เชื่อว่าไม่มีใครกล้ายกมือหรอก เพราะนาทีนี้ราคาน้ำมันขนาดนี้ไม่น่าจะมีงบโฆษณาเทลงมาอีกหรอก
ฉะนั้นมีความเป็นไปได้ว่าน่าจะหารายได้จากการขายหนังสือเป็นเล่มๆ แต่ราคาขายต่อเล่มเมื่อเปรียบเทียบกับต้นทุนแล้ว ไม่คุ้มหรอก ยิ่งขายมากก็ยิ่งขาดทุน จากจุดนี้เราสามารถพยากรณ์ได้เลยว่าบริษัทที่ออกหนังสือพิมพ์รายวันบันเทิง น่าจะประสบปัญหาการขาดทุน
ไม่น่าแปลกใจที่อากู๋ไม่ทำหนังสือพิมพ์บันเทิงรายวัน ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าอากู๋จะออกหนังสือพิมพ์รายวันบันเทิง แต่ก็เป็นข่าวลือ
อากู๋ เล่าว่าหนังสือพิมพ์เล่มใหม่ของเขาไม่เน้นข่าวร้าย และจะทำแตกต่างจากหัวหนังสือพิมพ์ฉบับอื่นที่มีอยู่ในท้องตลาด ส่วนตัวเห็นว่าในช่วงที่เศรษฐกิจอยู่ในภาวะชะลอตัวถือเป็นจังหวะดีที่จะเข้าไปลงทุน อย่างไรก็ดีไม่ได้มองเรื่องรายได้เป็นหลัก แต่มองความชอบและอยากลองมากกว่า
คำสัมภาษณ์ของอากู๋ต้องตีความหลายประการ หนังสือพิมพ์หลายฉบับลงข่าวไม่ตรงกัน
ประการแรก การออกหนังสือพิมพ์เล่มนี้ ออกในนามใคร คำถามก็คือในนามแกรมมี่หรือในนามส่วนตัวของอากู๋ เพราะหนังสือพิมพ์แต่ละเล่มก็ลงข่าวไม่ตรงกัน บางเล่มก็ลงว่าเป็นแกรมมี่ลงทุนเอง บางเล่มก็บอกว่าเป็นการลงทุนโดยเงินส่วนตัวของอากู๋
ถ้าเป็นการลงทุนในนามบริษัทแกรมมี่ก็เป็นเรื่องที่น่าคิด เพราะต้องใช้เงินถึงพันล้านบาท ระยะเวลาคืนทุนอีกกี่ปี
อย่างไรก็ตามหากเป็นการซื้อหนังสือพิมพ์ที่อยู่ในตลาดอยู่แล้ว และขาดเงินอีกไม่กี่ร้อยล้านบาทก็สามารถทำให้หนังสือพิมพ์รุ่งเรืองได้แล้ว ก็เป็นเรื่องที่น่าคิด
ธุรกิจหนังสือพิมพ์รายวันเป็นธุรกิจที่ต้องอาศัยความอดทนสูงและลงทุนสูง กว่าที่จะคืนทุนอีกทั้งเป็นธุรกิจที่ลงทุนสูงมากโดยไม่สามารถบอกได้เลยว่าจะเกิดได้เมื่อไหร่ หรือจะเกิดได้หรือเปล่า
พูดง่ายๆก็คือเป็นธุรกิจเผากระดาษนั่นเอง
เมื่อธรรมชาติธุรกิจเป็นแบบนี้แล้วไซร้ อากู๋จะลงทุนในนามบริษัทแกรมมี่ไปทำไม
บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์นั้นติดกำดักการเติบโต หมายความว่าต้องมีอัตราการเติบโตโดยตลอดจึงจะสามารถทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นได้ หรืออย่างน้อยก็ต้องทำให้นักลงทุนเห็นว่าบริษัทน่าจะมีอัตราการเติบโตในอนาคต สมควรที่จะลงทุนหรือไม่
หากธุรกิจที่จะลงทุนนั้นเป็นธุรกิจคืนทุนเร็ว ก็น่าที่จะนำบริษัทแกรมมี่ไปลงทุนก็ถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล
แต่ถ้าธุรกิจที่คืนทุนช้า อากู๋ก็น่าที่จะใช้เงินส่วนตัวในการลงทุน
อากู๋ ใช้เงินลงทุนส่วนตัวในการทำธุรกิจส่วนตัวหลายธุรกิจมาแล้ว
แต่ละธุรกิจใช่ว่าจะเป็นไปตามที่ตนเองต้องการ
4 me คือธุรกิจที่อากู๋คิดว่าน่าจะทำเงินได้ดี เพราะคิดว่าน่าจะทำได้ไม่ยาก เพราะได้ศิลปินมาลงทุนถือหุ้นด้วยและใช้ดาราศิลปินเหล่านั้นเป็นผู้โฆษณาให้นั่นเอง
อากู๋มองว่าคนกินบะหมี่เเพราะเห็นว่าดารานักร้องกิน
คิดง่าย และคิดแบบที่ว่าธุรกิจนี้ไม่มีคู่แข่งขัน แต่จริงๆแล้วคู่แข่งขันที่อยู่ในยุทธจักรไม่มีใครยอมใครอยู่แล้ว
ผลที่เกิดขึ้นก็คือสหพัฒน์ไม่ต้องการให้ 4 me เป็นหอกข้างแคร่ จึงซื้อกลับมาจากนั้นก็ปล่อยให้แบรนด์นี้หายไปในที่สุด
ธุรกิจขายตรงก็เหมือนกัน คิดง่ายๆว่าใช้พี่เบิร์ดเป็นพรีเซ็นเตอร์หาสาวจำหน่าย จ้างคนผลิตเครื่องสำอางค์ ก็คงขายได้ระเบิดเถิดเทิงเพราะคู่แข่งขันในตลาดมีน้อย
แต่วันนี้แม้จะมียอดจำหน่ายเป็นที่น่าพอใจของอากู๋ตามที่แถลงข่าว แต่กำไรหรืออนาคตก็ยังไม่แน่ว่าจะเป็นไปตามที่ตั้งไว้หรือไม่
ถ้าดีจริงกรรมการผู้จัดการจะลาออกไปรึ
ธุรกิจหนังสือพิมพ์เป็นธุรกิจปราบเซียน ยากกว่าสองธุรกิจที่กล่าวมาแล้วด้วยซ้ำ การที่อากู๋ลงสู่ธุรกิจหนังสือพิมพ์เป็นเพราะอะไร จะบอกว่าเพราะอยากจะเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์เท่านั้น
ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะต้องการกำไร ก็น่าจะไปทำธุรกิจอื่น ต้องการอำนาจและอิทธิพล หนังสือพิมพ์อากู๋จะกล้าตีรัฐบาลเชียวรึ
|
|
|
|
|