|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
บลจ.ธนชาตประกาศกร้าวรุกธุรกิจกองทุนเต็มสูบ เผยครึ่งปีแรกสามารถดึงเม็ดเงินได้กว่า 6 พันล้านบาท จากการเปิดตัวกองทุนตราสารหนี้ คาดภายในสิ้นปี NAV ขยับเพิ่ม 1-1.2 หมื่นล้านบาท ตั้งเป้าออกกองทุนตราสารหนี้ที่เข้าลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลทุกเดือน พร้อมเปิดตัวกองทุนหุ้น 2 กอง หวังช้อนหุ้นราคาถูกเข้าพอร์ต
นายกำพล อัศวกุลชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายการตลาดกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ธนชาต จำกัด เปิดเผย ถึงแผนการดำเนินงานในครึ่งปีหลังของปีนี้ว่า บริษัทเตรียมเปิดตัวกองทุน ตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีนโยบายลงทุน ในพันธบัตรรัฐบาล หรือตั๋วเงินคลังทุกเดือนและออกกองทุนหุ้นจำนวน 2 กองทุน โดยคาดว่าในสิ้นปีนี้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ภายใต้การบริหารจัดการจะเพิ่มขึ้นประมาณ 1-1.2 หมื่นล้านบาท เมื่อเทียบกับสิ้นปีที่ผ่านมามีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารจัดการประมาณ 2.6 หมื่นล้านบาท
"กองทุนรวมตลาดเงินที่เราเตรียมเปิดตัวในครึ่งปีหลังถือเป็นการตอบโจทย์ที่ถูกต้อง และเป็นจังหวะที่เหมาะสมภายใต้สถานการณ์ที่แนวโน้มดอกเบี้ยมีแนวโน้มขาขึ้น เงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง และความไม่มั่นใจในตลาดตราสารหนี้ ซึ่งกระแสต้องรับนักลงทุนมีเข้ามาเป็นจำนวนมาก และทิศทางในครึ่งปีหลังกองทุนประเภทนี้ จะมีลูกเล่นที่ตอบสนองความต้องการ นักลงทุนได้ตรงจุด" นายกำพลกล่าว
สำหรับกองทุนหุ้นที่จะออกในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้จะมีจำนวน 2 กองทุน โดยกองแรกที่เตรียมเปิดตัวจะเป็นกองทุนปิด และกองที่ 2 จะเป็นกองเปิด ส่วนสาเหตุที่ทำให้บริษัท เลือกออกกองทุนหุ้นในช่วงปลายปี จากที่ก่อนหน้าบุกตลาดตราสารหนี้ระยะสั้น เนื่องจากประเมินว่าแนวโน้มดัชนีในช่วงสิ้นปีจะอยู่ที่ระดับ 700-720 จุด
การที่ตัดสินใจเปิดกองทุนหุ้นในช่วงที่ดัชนีอยู่ในระดับต่ำจะส่งผลดีกับนักลงทุนที่ถือหน่วยลงทุน ซึ่งทำให้บริษัทสามารถเลือกหุ้นที่มีปัจจัย พื้นฐานดี และราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงเข้าพอร์ต ซึ่งลูกค้าที่เป็นนักลงทุน ในระยะยาวจะได้รับประโยชน์จากการลงทุนในกองปิด
นายกำพลกล่าวว่า นโยบายการ ลงทุนในกองทุนหุ้นที่เตรียมเปิดตัวทั้ง 2 กองทุน มีนโยบายการลงทุนในเชิงรุก โดยจากการประเมินของผู้จัดการกองทุนของบริษัทพบว่า ในครึ่งปีที่ผ่านมามีเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติประมาณ 1-1.2 แสนล้านบาท ซึ่งทำให้แนวโน้มในระยะสั้นนักลงทุนต่างชาติจะเริ่มเทขายหุ้นบางส่วนออกมาเพื่อทำกำไร จังหวะการออกกองทุน ในช่วงไตรมาส 3 ถือเป็นจังหวะเหมาะ ในการช้อนซื้อหุ้นในราคาถูก อย่างไรก็ตาม ในส่วนของนักลงทุนรายย่อยจำเป็นต้องระมัดระวังในการลงทุนในตลาดหุ้นช่วงนี้
สำหรับเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในภูมิภาค เอเชียในครึ่งปีแรกมีมูลค่ากว่า 8 แสนล้านบาท โดยให้น้ำหนักกับการลงทุนในตลาดหุ้นประเทศจีน,อินเดีย,ไต้หวัน และเกาหลีใต้ และมีเม็ดเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทย 1 แสนล้านบาท
นายกำพลกล่าวอีกว่า ในส่วนของกองทุนรวมลงทุนในต่างประเทศ (FIF) บริษัทได้ยื่นขอจัดตั้งกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) 2 กองทุน มูลค่ากองทุนละ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยจะเป็นกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ และตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งกองทุนที่จัดตั้งจะไม่ใช่การออกกองทุนใหม่ แต่จะเป็น การเสนอแก้ไขโครงการ เพื่อนำเงินไป ลงทุนได้เร็วขึ้น เมื่อเทียบกับการจัดตั้ง กองทุนใหม่ ซึ่งคาดว่าหลังจากที่ ก.ล.ต.อนุมัติจะสามารถนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศได้ทันที
สำหรับสาเหตุที่ทำให้บริษัทเลือกลงทุนในตลาดตราสารหนี้หรือตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย เนื่องจาก แนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจของ ประเทศในภูมิภาคเอเชียมีแนวโน้ม ขยายตัวสูงกว่าในภูมิภาคอื่น ขณะที่ผลตอบแทนการลงทุนจากตลาดหุ้นยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับตลาดอื่นเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้บริษัทยังมีพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจ ในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งทำให้แนวโน้มผลตอบแทนจากการลงทุนของกองทุน FIF จะให้ผลตอบแทนในระดับน่าสนใจสำหรับนักลงทุน
|
|
|
|
|